วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Surrogates



แนวหนัง : วิทยาศาสตร์ บู๊ ตื่นเต้น ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในอนาคต มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้หุ่นยนต์ที่ดูเหมือนมนุษย์ ในการทำกิจกรรมต่างๆแทนตนเอง โดยเจ้าของหุ่นยนต์เพียงแค่นอนอยู่บนเตียง ที่มีอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์ แล้วสวมอุปกรณ์เชื่อมต่อไว้ที่ศรีษะ ก็จะสามารถมองเห็น ทุกสิ่งที่หุ่นยนต์เห็น และ เพียงแค่คิด หุ่นยนต์ก็จะพูด และ เคลื่อนไหว ตามที่เราคิด เหมือนกับเป็นร่างกายของเราเอง โดยทุกคนสามารถเลือกหุ่นยนต์ ที่มีรูปร่างหน้าตาดีแค่ไหนก็ได้ ไม่มีใครต้องออกนอกบ้านอีกต่อไป (ยกเว้นไปโรงพยาบาล) แม้หุ่นยนต์จะถูกทำร้าย หรือ ประสบอุบัติเหตุเสียหายขนาดไหน ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆถึงผู้ควบคุม หรือ เจ้าของหุ่นยนต์ ทุกคนจึงอยู่อย่างปลอดภัย จากภัยต่างๆที่อยู่นอกบ้าน หุ่นยนต์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า เซอร์โรเกทส์ แต่ก็มีผู้คนบางส่วน ที่ต่อต้านการใช้เซอร์โรเกทส์ ได้รวมตัวกันอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ จัดตั้งให้เป็นเขตปลอดหุ่นยนต์ โดยมีผู้นำชื่อ โพรเฟ็ต

     ในค่ำคืนหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืมหุ่นยนต์ของพ่อไปเที่ยวผับ ขณะที่เขาพาหุ่นยนต์หญิงสาวรายหนึ่ง ออกมาข้างนอก ก็มีชายอีกคนที่ไม่ได้ใช้หุ่นยนต์ ใช้อาวุธปืนชนิดหนึ่ง ยิงเข้าใส่หุ่นยนต์ทั้งคู่ ทำให้ดวงตาของหุ่นยนต์ทะลุ จนหุ่นยนต์ใช้การไม่ได้ แล้วชายคนนั้นก็หนีไป

     หุ่นยนต์ของนักสืบ ทอม เกรียร์ และ คู่หูของเขา เจนนิเฟอร์ ปีเตอร์ ไปยังที่เกิดเหตุ ตรวจพบว่า หุ่นยนต์ชายหนุ่มไม่ได้ลงทะเบียนไว้ หุ่นทอมกับหุ่นเจนนิเฟอร์ จึงต้องเดินทางไปหา เจ้าของหุ่นยนต์หญิงสาวถึงห้องพัก เมื่อไปถึงก็พบว่า เจ้าของหุ่นฯเป็นชายอ้วน นอนตายอยู่บนเตียง หลังจากนั้น ก็มีคนพบศพชายหนุ่มอยู่บนเตียงอีกคน รายนี้เป็นลูกชายคนเดียวของ ดร.แคนเทอร์ ผู้คิดค้นประดิษฐ์หุ่นยนต์ เซอร์โรเกทส์ หุ่นทอมกับหุ่นเจนนิเฟอร์ จึงเดินทางไปพบดร.แคนเทอร์ หุ่นทอมบอกกับหุ่นดร.แคนเทอร์ว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของดร.แคนเทอร์ เพราะเขาเองก็เคยสูญเสียลูกชายเหมือนกัน แล้วค่อยถามต่อว่า มีใครปองร้ายดร.แคนเทอร์ จนทำลายหุ่นของเขา เพราะคิดว่า เขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นนั้นอยู่ใช่หรือไม่ ดร.แคนเทอร์ไม่ตอบ และ ได้หยุดการใช้หุ่นในทันที (ดร.แคนเทอร์แอบนั่งร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว)

     หุ่นทอมกับหุ่นเจนนิเฟอร์ จึงเดินทางไปพบผู้บริหารของบริษัท VSI ผู้ผลิตเซอร์โรเกทส์ ผู้บริหารของVSIบอกว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ที่การทำร้ายหุ่นยนต์ จะส่งผลกระทบถึงผู้ควบคุม นักสืบทั้งคู่จึงแวะไปคุยกับวิศวกร วิศวกรบอกว่า เขาเคยเห็นหุ่นยนต์ของทหาร ที่ดวงตาหายไป นักสืบทั้งคู่จึงไปสอบถามทหาร ทหารบอกว่า ไม่รู้เรื่อง


     ต่อมา ทางตำรวจได้ตรวจพบข้อมูลของคนร้าย ศูนย์ควบคุมอาชญากรรมของตำรวจ ซึ่งสามารถรับภาพ และ เสียงจากหุ่นยนต์ทุกตัว แถมยังสามารถส่งสัญญาณไปปิดสวิทซ์หุ่นยนต์ได้อีกด้วย ได้เห็นภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิด ทอมจึงรีบขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ออกไปตามจับคนร้ายทันที คนร้ายได้ใช้ปืนกระบอกเดิม ยิงหุ่นตำรวจจนตาทะลุ โชคดีที่ทอมถอดอุปกรณ์ควบคุมหุ่นได้ทัน ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังสามารถกลับมาควบคุมหุ่นต่อ เฮลิคอปเตอร์ได้ตกลงในเขตต่อต้านหุ่น หุ่นทอมตามล่าคนร้ายต่อ จนเกือบจะจับตัวได้ แต่ก็ถูกชาวบ้านที่เกลียดหุ่นขัดขวาง และ ทำลายหุ่นทอมเสียก่อน

     เมื่อ โพรเฟ็ต รู้เรื่องนี้ จึงไปเยี่ยมคนร้ายถึงห้องนอน พร้อมกับลูกน้องของเขา ส่วนทอมก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และ ถูกหัวหน้าสั่งพักงาน เมื่อทอมออกจากโรงพยาบาล ก็เข้าไปสืบในเขตปลอดหุ่น ด้วยตัวเอง ทอมได้เห็นพิธีเผาศพคนร้าย จึงพยายามจะถามเรื่องราวจากโพรเฟ็ต แต่กลับถูกทำร้าย และ ไล่ออกมา จนมาพบ หุ่นดร.แคนเทอร์เรียกให้ทอมขึ้นรถ เพื่อสอบถามเรื่องคดีลูกชายของเขา

     นักสืบหญิง เจนนิเฟอร์ ถูกยิงตายขณะนอนหลับอยู่ในบ้าน ฆาตกรได้สวมรอย เข้าควบคุมหุ่นของเจนนิเฟอร์แทน ทอมไปถามทหารเรื่องอาวุธที่ทำให้หุ่นตาทะลุ หลังจากเล่าเรื่องการใช้อาวุธของคนร้ายให้ฟัง ทหารจึงยอมบอกความจริงว่า ทหารเคยจ้างให้ VSI ผลิตอาวุธนี้ขึ้น เพื่อใช้ส่งไวรัสคอมพิวเตอร์ เข้าไปทำลายหุ่น แต่เนื่องจากผลข้างเคียง ที่ทำให้ผู้ควบคุมหุ่นเสียชีวิต จึงได้ยกเลิกโครงการ และ ทำลายอาวุธไปหมดแล้ว ตอนนี้จึงเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียว ที่คนร้ายนำไปใช้ โพรเฟ็ตได้สั่งให้ลูกน้อง นำอาวุธชิ้นนั้นไปมอบให้กับหุ่นเจนนิเฟอร์

     ทอม ไปหาหุ่นภรรยาของเขา ที่ทำงานอยู่ร้านเสริมสวยหุ่น เขาถามเธอว่า คิดถึงลูกบ้างไหม เขาอยากได้ภรรยาคนเดิม ที่สนุกสนานร่าเริง กลับคืนมา ไม่ใช่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง แล้วคุยกันผ่านหุ่นแบบนี้ ในเวลาเดียวกัน ทหารก็บุกเข้าเขตปลอดหุ่น โดยไม่ใช้หุ่น เพื่อค้นหาอาวุธชิ้นนั้น จึงเกิดการต่อสู้กันกับกลุ่มของโพรเฟ็ต จนโพรเฟ็ตถูกยิง ทำให้รู้ว่า ที่แท้จริง โพรเฟ็ตก็เป็นเพียงหุ่นอีกตัวหนึ่งของดร.แคนเทอร์

     ทอม ไปหาหุ่นหัวหน้าของเขา เพราะรู้ว่า หัวหน้าคือ คนที่จ้าง และ มอบอาวุธให้คนร้าย เพื่อฆ่าดร.แคนเทอร์ เขาทำให้หุ่นหัวหน้าหยุดทำงาน เพื่อค้นดู และ ก๊อปปี้ข้อมูล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของหัวหน้า ก่อนจะขึ้นรถที่ขับโดยหุ่นเจนนิเฟอร์ หุ่นเจนนิเฟอร์ขับรถชนข้างทาง แล้วหนีไปพร้อมอาวุธชิ้นนั้น ทอมจึงขับรถไล่ล่าหุ่นเจนนิเฟอร์ จนรถพุ่งชนเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง หลังจากนั้น หุ่นเจนนิเฟอร์ได้เข้ายึดศูนย์ควบคุมอาชญากรรมของตำรวจ แล้วขอคุยกับหัวหน้า หุ่นหัวหน้าจึงมาคุยกับหุ่นเจนนิเฟอร์ ทำให้รู้ว่า คนที่กำลังควบคุมหุ่นเจนนิเฟอร์ก็คือ ดร.แคนเทอร์ นั่นเอง หุ่นเจนนิเฟอร์ใช้ปืนยิงหุ่นหัวหน้า ทำให้หัวหน้าตาย และ กำลังจะปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์จากอาวุธ เข้าสู่ระบบส่งสัญญาณของศูนย์ฯ เพื่อทำลายหุ่น และ ผู้ควบคุมหุ่นทั้งหมด

     ทอม รีบบุกไปที่บ้านของดร.แคนเทอร์ เพื่อยับยั้งแผนร้ายของเขา แต่ดร.แคนเทอร์ได้ใช้หุ่นเจนนิเฟอร์ สั่งปล่อยไวรัสฯ ก่อนจะฆ่าตัวตาย ทอมจึงเข้าควบคุมหุ่นเจนนิเฟอร์ จนสามารถยับยั้งการปล่อยไวรัสฯเอาไว้ได้ แต่ทอมก็ได้ปล่อยสัญญาณออกไป ปิดสวิทซ์หุ่นทั้งหมดอย่างถาวร เมื่อไม่สามารถใช้เซอร์โรเกทส์ได้อีกต่อไป ผู้คนจึงพากันออกมาภายนอกบ้าน แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองต่อไป ส่วนทอมก็กลับไปอยู่กับภรรยาของเขา โดยไม่ต้องคุยกันผ่านหุ่นอีกต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

Mamma Mia!



แนวหนัง : เพลง (ABBA) ตลก

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     โซฟี ว่าที่เจ้าสาววัย ๒๐ ปี ได้ส่งจดหมายถึงชาย ๓ คน คือ แซม บิล และ แฮรี่ เพื่อเชิญให้มาร่วมงานแต่งงานของเธอ บนเกาะในประเทศกรีก โซฟีเล่าให้เพื่อนเจ้าสาวสองคนฟัง ว่า เธอค้นพบสมุดไดอารี่ของแม่ ทำให้เธอรู้ว่า ช่วงเวลาที่แม่เริ่มตั้งท้องเธอนั้น แม่คบหาอยู่กับชายหนุ่ม ๓ คน ชายคนแรกคือ แซม คนที่แม่มั่นใจว่าเป็นรักแท้ แต่ในขณะที่แซมบอกรักแม่ แซมยังบอกอีกว่า เขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว และ จำเป็นต้องกลับไปแต่งงานด้วย ชายคนที่สองคือ บิล ชายผู้รักการผจญภัย ที่ทำให้แม่สนุกสนาน แต่เมื่อบิลจากไป ชายคนที่สามก็เข้ามาในชีวิต เขาคือ แฮรี่ ขาเฮฟวี่ โซฟีจึงมั่นใจว่า พ่อของเธอจะต้องเป็นคนใดคนหนึ่ง ในสามคนนี้แน่ และ ถ้าเธอได้พบชายทั้ง ๓ คน เธอคงจะรู้ในทันทีว่า ใครคือพ่อของเธอ

     แซม (สถาปนิก) และ แฮรี่ (นายธนาคาร) พลาดเรือไปเกาะเที่ยวสุดท้าย บิล (นักเขียน และ นักผจญภัย) จึงชวนทั้งสองคน ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ด้วยเรือของบิล ระหว่างเดินทาง ทั้งสามคนคุยกันว่า ไม่ได้พบกับ ดอนน่า (แม่ของโซฟี) เป็นเวลา ๒๐ ปีแล้ว อยู่ๆก็ได้รับจดหมายเชิญ ให้มาร่วมงานแต่งงานของลูกสาว ดอนน่า เล่าให้เพื่อนสนิทสองคน ที่เพิ่งเดินทางมาถึงได้ฟังว่า เธอทำกิจการโรงแรมบนเกาะแห่งนี้มา ๑๕ ปีแล้ว ก็ยังมีปัญหาด้านการเงินตลอดมา และ เมื่อหนุ่มใหญ่ทั้งสามคนมาถึง โซฟีก็พาพวกเขาไปห้องพัก พร้อมทั้งสารภาพว่า เธอเป็นคนเขียนจดหมายเอง แม่ของเธอยังไม่รู้เรื่องนี้ โซฟีได้ขอให้ทั้งสามคนรับปากว่า จะไม่บอกดอนน่าว่า โซฟีเชิญพวกเขามา

     โซฟี ได้ยินเสียงแม่ของเธอ จึงแอบหลบไป ดอนน่า แอบมาเห็นหนุ่มใหญ่ทั้งสามคนโดยบังเอิญ จึงตกใจจนเดินตกลงไปในห้องพัก เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับอดีตคนรัก พร้อมๆกันทีเดียวถึง ๓ คน พวกเขาบอกเธอว่า ได้มาพบกันโดยบังเอิญ ดอนน่าจึงไล่ให้พวกเขากลับไป แล้ววิ่งไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียว เพื่อนสาวของดอนน่าทั้งสองคนเห็นเธอร้องไห้ จึงเข้ามาช่วยปลอบใจ

     เมื่อโซฟี เห็นหนุ่มใหญ่ทั้งสามคนออกเรือไป เธอจึงรีบว่ายน้ำตามขึ้นไปบนเรือ ทั้งสามคนยังไม่คิดจะจากไป เพียงแค่จะล่องเรือเที่ยวรอบๆเกาะเท่านั้นเอง โซฟีจึงได้เที่ยวไปกับทั้งสามคน อย่างสนุกสนาน และ ยังได้ฟังเรื่องราวของพวกเขา กับแม่ของเธอ อย่างมีความสุข จนกระทั่ง กลับมาถึงท่าเรือ แฟนของโซฟีมาตะโกนเรียก เธอจึงว่ายน้ำขึ้นฝั่งไปหาเขา

     พอค่ำลง ก็ได้เวลาของงานเลี้ยงสละโสด เหล่าสาวๆบนเกาะมารวมตัวกัน เพื่อชมการแสดงร้องเพลงของ ดอนน่า กับ ไดนาไมท์ (เพื่อนสนิททั้งสองคน) หนุ่มใหญ่ทั้งสามคนมาเห็นเข้าพอดี ทำให้ดอนน่ารู้สึกกลุ้มใจอีก โซฟีแอบไปคุยกับแซม ต่อด้วยแฮรี่ และ บิล บิลได้ถามโซฟีว่า ดอนน่าเอาเงินจากไหนมาสร้างโรงแรม โซฟีตอบว่า ได้มรดกจากหญิงชรา ที่แม่เคยดูแล บิลบอกว่า หญิงชราคนนั้นเป็นป้าของเขาเอง ทำให้บิลคิดว่า เขาเป็นพ่อของโซฟี โซฟีจึงขอให้บิลเป็นคนส่งตัวเจ้าสาว ต่อมา โซฟีได้เจอแซมอีก แซมก็คิดว่า เขาเป็นพ่อของโซฟี จึงขอเป็นคนส่งตัวเจ้าสาวอีกคน แม้แต่แฮรี่ก็ยังคิดเช่นเดียวกัน โซฟีจึงรู้สึกสับสน จนเป็นลมล้มลงกลางงานเลี้ยง

     เช้าวันรุ่งขึ้น แฮรี่ ไปหาบิลที่เรือ คุยกันเรื่องที่ทั้งคู่สงสัยว่า เขาอาจเป็นพ่อของโซฟี ส่วนดอนน่าเมื่อเห็นโซฟีดูเศร้าสร้อย จึงคิดว่า ลูกทะเลาะกับแฟน และ ไม่อยากแต่งงาน โซฟีเสียใจที่แม่คิดเช่นนั้น จึงเดินหนีไป แซมจึงได้โอกาสคุยกับดอนน่าตามลำพัง ทำให้รู้ว่า ทั้งคู่ยังคงรักกันอยู่ โซฟีบอกแฟนเรื่องที่เธอเชิญคนที่อาจเป็นพ่อทั้งสามคนมา เขาจึงรู้สึกน้อยใจ คิดว่า โซฟีอยากแต่งงานเพียงเพื่อหาพ่อเท่านั้น โซฟีรู้สึกเศร้า และ สับสน เธอจึงขอให้แม่ช่วยแต่งตัวให้ และ เป็นคนส่งตัวเจ้าสาวด้วย เมื่อดอนน่าส่งโซฟีไปกับขบวนแห่เจ้าสาวแล้ว แซมก็เข้ามาคุยกับดอนน่า เธอจึงบอกเขาว่า เธอรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน ที่ต้องสูญเสียเขาไป

     ดอนน่า รีบวิ่งขึ้นไปยังโบสถ์ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา พบโซฟีนั่งรออยู่หน้าโบสถ์ จึงได้เริ่มพิธีส่งตัวเจ้าสาว ขณะที่บาทหลวงกำลังทำพิธี ดอนน่าก็ประกาศ เปิดเผยตัวพ่อเจ้าสาวทั้ง ๓ คน โซฟีจึงสารภาพความจริง ทั้งแม่ และ ลูก โทษว่า เป็นความผิดของแซม ที่ทิ้งดอนน่าไป แซมจึงบอกว่า เขาไปบอกกับคู่หมั้นว่า ไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้ แล้วจึงกลับมาหาดอนน่า แต่ดอนน่าได้ออกไปกับชายอื่นแล้ว แซม บิล และ แฮรี่ ยินดีที่จะรับโซฟี เป็นลูกของทั้งสามคน ทำให้โซฟีดีใจมาก เธอจึงบอกยกเลิกการแต่งงาน เพราะรู้ว่า แฟนของเธอก็ยังไม่อยากแต่ง แล้วชวนให้ออกไปเที่ยวด้วยกันก่อน แซมจึงขอดอนน่าแต่งงานแทน เขาบอกกับเธอว่า เขาเป็นพ่อหม้าย ที่รักเธอมาตลอด ๒๑ ปี ดอนน่าจึงตอบตกลง ทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานกัน เมื่อเสร็จสิ้นงานเลี้ยงแล้ว โซฟีก็ลาแม่ และ พ่อทั้งสามคน เพื่อลงเรือ ออกเดินทางไปกับแฟนของเธอ

หมายเหตุ : หนังเรื่องนี้ มีการร้องเพลงของวง ABBA กว่า ๒๐ เพลง ด้วยเสียงของนักแสดงเอง ใครที่ชอบเพลง แนวจังหวะสนุกสนาน ไม่ควรพลาด

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

The Bourne Ultimatum



แนวหนัง (ภาค ๓) : บู๊ ตื่นเต้น เร้าใจ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ขณะที่ เจสัน บอร์น กำลังหลบหนีตำรวจ และ ยังต้องแวะหาสถานที่ทำแผล จากการถูกยิงที่ไหล่ซ้าย (ต่อเนื่องจากภาค ๒) ก็มีภาพเหตุการณ์เลือนลางในอดีต ตอนที่เจสันเพิ่งเข้าโครงการลับ ผุดขึ้นมาในสมองของเขา ทันใดนั้น ตำรวจ ๒ คนก็มาพบเจสันเข้า จึงพยายามจะจับเขา แต่เจสันก็หนีไปได้ โดยไม่ต้องฆ่าใคร

     นักข่าวชายคนหนึ่ง ได้นัดพบกับแหล่งข่าวอย่างลับๆ เพื่อเอาข้อมูลไปเขียนข่าวเกี่ยวกับ เจสัน บอร์น หลังจากได้คุยกับแหล่งข่าวแล้ว เขารีบโทรศัพท์คุยเรื่องที่เขาได้ฟังมา เกี่ยวกับปฏิบัติการ แบล็กไบรอาร์ โดยไม่รู้เลยว่า มีหน่วยงานลับแอบดักฟังอยู่ โนอาห์ ผ.อ.หน่วยปฏิบัติการ แบล็กไบรอาร์ จึงได้สั่งให้ลูกน้องค้นข้อมูลของนักข่าวคนนั้น ในระหว่างเดินทางโดยรถไฟ เจสันได้อ่าน
หนังสือพิมพ์ พบข่าวเกี่ยวกับตัวเขา และ ปฏิบัติการเทรดสโตน จึงโทร.หานักข่าว นัดให้ออกมาพบ

     เมื่อถึงจุดนัดพบที่สถานีรถไฟ เจสันรู้ว่า มีคนของหน่วยงานลับแอบตามนักข่าวมา จึงแอบหย่อนโทรศัพท์มือถือ ลงในกระเป๋าเสื้อของนักข่าว เพื่อไม่ให้ใครดักฟังได้ แล้วโทร.หานักข่าว บอกให้เดินไป โดยเจสันคอยบอกเส้นทางให้ ระหว่างนั้น เจสันก็คอยจัดการคนที่แอบตามมาด้วย เมื่อถึงจุดลับตา เจสันก็เข้าไปพบนักข่าว และ ถามถึงแหล่งข่าว นักข่าวไม่ยอมบอกชื่อแหล่งข่าว แต่พูดถึงแบล็กไบรอาร์ จากนั้น เจสันก็บอกให้เดินต่อไป โดยที่เจสันยังคอยโทร.บอกให้ทำตาม และ ต้องคอยสกัดคนที่แอบตามมาอีกหลายคน แล้วค่อยพานักข่าวไปหาที่ซ่อน ในขณะเดียวกัน นักฆ่าซึ่งได้รับคำสั่งจากโนอาห์ ก็แอบซุ่มดักยิงทั้งคู่อยู่ เมื่อนักข่าวไม่ยอมรอตามที่เจสันบอก รีบออกมาจากที่ซ่อน จึงถูกยิงตาย เจสันรีบเข้าไปดู และ หยิบสมุดบันทึกของนักข่าวไป นักฆ่ารีบตามล่าเจสัน แต่ก็ถูกเจสันหลอกให้เข้าไปในรถไฟ เจสันยืนอยู่บนชานชลา สบตากับนักฆ่า ในขณะที่รถไฟกำลังออกจากสถานี

     เจสัน เปิดดูสมุดบันทึกของนักข่าว รู้ว่า แหล่งข่าวอยู่ในเมืองมาดริด ประเทศสเปน จึงเดินทางไปหา ในขณะเดียวกัน แหล่งข่าวได้เห็นข่าวที่นักข่าวคนนั้นถูกยิงตาย จึงรีบเตรียมหนี แพม ซึ่งเคยตามล่าเจสันมาก่อน ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยโนอาห์ ในการตามล่า เจสัน บอร์น เมื่อดูภาพย้อนหลัง ที่ดึงมาจากกล้องวงจรปิดของสำนักพิมพ์ จนได้เห็นข้อความ ในสมุดบันทึกของนักข่าว แพมก็รู้ว่า เจสันไม่ใช่แหล่งข่าว อย่างที่โนอาห์เข้าใจ จึงสืบหาแหล่งข่าวตัวจริง จนรู้ว่า แหล่งข่าวชื่อ แดเนียลส์ อยู่ที่สำนักงานมาดริด จึงรีบส่งลูกน้องสองคนไปจับตัวมา แต่นอกจากไม่พบแดเนียลส์แล้ว ทั้งสองคนยังถูกเจสันจัดการจนสลบไปอีก

     หลังจากนั้น นิคกี้ ก็โผล่เข้ามาในห้องทำงานของแดเนียลส์อีกคน เจสันจึงใช้ปืนขู่ นิคกี้รับโทรศัพท์จากโนอาห์ และ ตอบรหัสลับไปว่า เหตุการณ์ปกติ (ไม่ได้ถูกขู่) และ ไม่พบเจสัน แต่โนอาห์รู้ทัน จึงรีบส่งคนไปอีก นิคกี้บอกเจสันว่า จะพาเขาไปหาแดเนียลส์ เจสันเองก็รู้ทันโนอาห์ จึงยิงปืนสองนัด เพื่อเรียกให้ตำรวจท้องถิ่นมา แล้วรีบพากันหนีไป ลูกน้องของโนอาห์ที่เพิ่งมาถึง จึงถูกตำรวจจับไปแทน ส่วนแพมก็ถกเถียงกับโนอาห์ จนโนอาห์ยอมเล่าเรื่องปฏิบัติการ แบล็กไบรอาร์ ให้ฟังว่า เกี่ยวกับปฏิบัติการลับทั้งหมดของ CIA โดยมีแดเนียลส์ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ

     ระหว่างที่อยู่ในร้านอาหาร เจสัน ถามนิคกี้ว่า ทำไมเธอจึงยอมช่วยเขา นิคกี้ได้แต่ตอบว่า เธอรู้สึกลำบากใจเวลาที่อยู่ใกล้เขา และ ถามกลับไปว่า จำเรื่องราวระหว่างเขากับเธอไม่ได้เลยหรือ (เหมือนกับจะบอกว่า ทั้งคู่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เกินกว่าเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำ) โนอาห์รู้ว่า แดเนียลส์อยู่ที่แทนเจียร์ ประเทศโมร็อคโค จึงสั่งให้นักฆ่าไปจัดการ เจสัน นิคกี้ และ นักฆ่า ได้ไปถึงแทนเจียร์ ในเวลาใกล้เคียงกัน นิคกี้ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่า แดเนียลส์พักอยู่ที่ไหน แต่ข้อมูลถูกล็อกไว้ เจสันจึงบอกให้นิคกี้ดูข้อมูลของนักฆ่า แล้วให้นัดนักฆ่า มาพบเธอที่ร้านกาแฟ โดยหลอกว่า ให้มาเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ จากนั้น เจสันก็แอบตามนักฆ่าไป

     โนอาห์ รู้ว่านักฆ่าออกนอกเส้นทาง จึงตรวจสอบจนพบว่า นิคกี้แอบเปิด
ดูข้อมูลของนักฆ่า จึงสั่งให้นักฆ่าจัดการเจสันกับนิคกี้ด้วย แม้แพมจะคัดค้านอย่างไร โนอาห์ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ แดเนียลส์เพิ่งได้รับโทรศัพท์ ยืนยันการโอนเงินจากธนาคาร (ตามแผนถ่วงเวลาของโนอาห์) จึงรีบออกจากที่พัก เมื่อนักฆ่าได้รับคำสั่งใหม่ จึงรู้ตัวว่า ถูกนิคกี้หลอก เพื่อให้เจสันแอบตามมา นักฆ่าจึงทิ้งกระเป๋าไว้ข้างถนน เจสันรีบเข้าไปขวางรถของแดเนียลส์ไว้ เพราะคิดว่า มีระเบิดอยู่ในกระเป๋า นั่นทำให้ รถของแดเนียลส์หยุดอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซด์ ที่มีระเบิดอยู่พอดี จึงเกิดระเบิดขึ้นทันที แดเนียลส์ตาย เจสันล้มลงไป นักฆ่าคิดว่า เจสันตายแล้ว จึงรีบจะไปฆ่านิคกี้ เมื่อเจสันลุกขึ้นมาได้ ตำรวจท้องถิ่นก็มาถึง เจสันจะรีบไปช่วยนิคกี้ แต่ตำรวจคิดว่า เจสันเป็นคนวางระเบิด จึงตามจับเจสัน

     นิคกี้ ได้ยินเสียงรถตำรวจ และ เห็นนักฆ่าตรงมาที่เธอ จึงรีบทำลายโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้โนอาห์รู้ว่า เธออยู่จุดไหน พร้อมกับรีบเดินหนี เข้าไปในซอยที่มีคนพลุกพล่าน นักฆ่าตามเข้าไป เจสันก็ตามเข้าไปอีกคน แต่ตำรวจตามมาเจอ เจสันจึงต้องหนีขึ้นดาดฟ้าตึก เขามองเห็นนิคกี้ และ นักฆ่า จึงรีบวิ่งกระโดดข้ามตึกต่างๆ โดยมีตำรวจตามไปติดๆ แต่ด้วยความว่องไวของเจสัน ทำให้ตำรวจตามไม่ทัน นิคกี้หนีนักฆ่าขึ้นตึก แล้วกระโดดไปอีกตึก นักฆ่าเห็นเข้าจึงตามขึ้นตึกไป แต่ในที่สุด เจสันก็กระโดดไปคว้าตัวนักฆ่าไว้ได้ ก่อนจะถึงตัวนิคกี้ เจสันกับนักฆ่าจึงต่อสู้กัน ด้วยฝีมือการต่อสู้ที่สูสีกัน นิคกี้เข้าไปช่วยเจสัน แต่ก็ถูกนักฆ่าซัดกระเด็นออกมา การต่อสู้ในที่แคบ ได้ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด จนกระทั่ง เจสันสามารถฆ่านักฆ่าได้สำเร็จ แล้วจึงบอกให้นิคกี้ ใช้โทรศัพท์ของนักฆ่า ส่งข้อความแจ้งกลับไปว่า เจสันกับนิคกี้ตายไปแล้ว


     เจสัน บอกให้นิคกี้หนีไป และ หาที่หลบซ่อน เพราะเธอถูกหมายหัวไว้แล้ว นิคกี้จึงย้อมสี และ ตัดเปลี่ยนทรง
ผม แล้วขึ้นรถแยกจากไป เจสันก็ไปดูศพแดเนียลส์ เพื่อค้นดูเศษชิ้นส่วนเอกสาร ที่หลงเหลือจากแรงระเบิด พบที่อยู่สำนักงานในนิวยอร์ค จากนั้น เจสันก็เดินทางไปนิวยอร์ค แอบส่งสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ให้แพมได้รู้ว่า เขายังมีชีวิตอยู่ เจสันซึ่งอยู่บนตึกฝั่งตรงข้ามสำนักงาน ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดู เห็นแพมอยู่ในห้องทำงาน และ โนอาห์อยู่ในห้องข้างๆ

     เจสัน โทร.หาแพม บอกแพมว่า เขารู้ว่า เธอยังคงตามหาเขาอยู่ แพมบอกว่า ต้องการจะขอบคุณสำหรับเทป และ ขอโทษต่อเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ก่อนจะจบการสนทนา แพมยังบอกอีกว่า ชื่อที่แท้จริงของเจสันก็คือ เดวิด เว็บบ์ และ ยังบอกอีกว่า วันเกิดของเขาคือ 4/15/71 (เดือน/วัน/ปี) โดยที่ทั้งคู่รู้ดีว่า โนอาห์แอบดักฟังอยู่ เจสันบอกแพม ให้พักผ่อนบ้าง เพราะเธอดูเหนื่อยล้า ทำให้แพม และ โนอาห์ รู้ว่า เจสันมองดูแพมอยู่ จากนั้น แพมก็ออกไปนอกตึก โนอาห์สั่งทีมสะกดรอยตามไป แพมเดินออกไปได้สักครู่หนึ่ง เจสันก็โทร.หาโนอาห์ ซึ่งกำลังเฝ้าจับตาดูแพมอยู่ในรถ เพื่อบอกให้รู้ว่า เขากำลังอยู่ในห้องทำงานของโนอาห์ เจสันได้เปิดตู้เซฟ แล้วหยิบเอาแฟ้มเอกสารลับปฏิบัติการแบล็กไบรอาร์ออกไป ก่อนที่โนอาห์จะกลับไปถึง

     โนอาห์ รีบสั่งให้นักฆ่าไล่ล่าเจสัน เจสันหนีขึ้นดาดฟ้าที่จอดรถ ขโมยรถแล้วขับถอยหลัง หนีนักฆ่าที่ขับรถไล่มา จนสุดทาง รถตกลงไปอีกชั้น แล้วจึงขโมยรถตำรวจหนีต่อ นักฆ่ายังคงขับรถตามไล่ยิงมาติดๆ และ ชนเข้าด้านข้างรถของเจสัน แล้วดันขึ้นไปบนที่กั้นแบ่งทางแยก เจสันเห็นว่าชนแน่ จึงจับเข็มขัดนิรภัยรัดไว้แน่น แล้วรถก็ชนกันพลิกคว่ำ เจสันรอดออกมาได้ เห็นนักฆ่าบาดเจ็บอยู่ในรถ เจสันไว้ชีวิตนักฆ่า แล้วเดินต่อไปยังตึกเลขที่ 415 ทิศตะวันออก ถนนที่ 71 ตามเลขวันเกิดที่แพมบอกเขา ที่นี่คือ สถานที่ในภาพความทรงจำของเขา เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากลายเป็นนักฆ่า โนอาห์เพิ่งรู้ว่า วันเกิดที่แพมบอกเจสัน ไม่ใช่วันเกิดจริงๆ
จึงค่อยนึกออกว่า เป็นที่อยู่ของหน่วยงานลับอีกแห่ง จึงรีบตามไปที่นั่น

     เจสัน ได้พบกับแพม ซึ่งรอเขาอยู่ชั้นล่างของตึก เธอบอกกับเขาว่า ที่เธอช่วยเขาก็เพราะ เธอไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการ เทรดสโตน และ แบล็กไบรอาร์ เจสันส่งเอกสารลับปฏิบัติการ แบล็กไบรอาร์ ให้แพม แล้วเดินขึ้นชั้นบน ส่วนแพมเมื่อเห็นโนอาห์ ก็รีบส่งแฟกซ์เอกสารลับทั้งหมดโดยด่วน โนอาห์เข้ามาถึงเมื่อแพมส่งแฟกซ์เสร็จพอดี แพมจึงบอกให้โนอาห์ เตรียมหาทนายเก่งๆไว้ ก่อนจะเดินจากไป เมื่อเจสันเดินไปถึงหน้าห้อง ที่เขารู้สึกคุ้นเคย ก็ได้พบกับหมอ ที่ทำให้เขากลายเป็นนักฆ่า หมอได้บอกกับเจสันว่า เขาอาสาเข้ามาเอง พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น เจสันก็ค่อยๆนึกได้ตามลำดับ

     ทันใดนั้น ลูกน้องของโนอาห์ก็ตามมาไล่ยิงเจสัน นักฆ่าก็ตามมาด้วย เจสันวิ่งหนีออกทางดาดฟ้า นักฆ่าตามมาทัน นักฆ่าถามเจสันว่า ตอนนั้นทำไมไม่ฆ่าเขา เจสันถามกลับว่า รู้ไหมว่าทำไมต้องฆ่ากัน ดูที่เขาทำกับพวกเราสิ นักฆ่าจึงลดปืนลง เจสันจึงกระโดด ในขณะที่โนอาห์ตามมายิงพอดี เจสันตกลงไปในแม่น้ำ

     แพม ได้เปิดโปงข้อมูลปฏิบัติการ แบล็กไบรอาร์ ทำให้โนอาห์ หมอ และ ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ถูกไต่สวน จนเป็นข่าวโด่งดังออกโทรทัศน์ ผู้ประกาศข่าวบอกว่า ไม่พบศพของ เดวิด เว็บบ์ หรือ เจสัน บอร์น นิคกี้ซึ่งกำลังดูข่าวอยู่จึงยิ้มออก เพราะรู้ว่า เจสันยังมีชีวิตอยู่

จุดสังเกตุ : ฉากที่แพมบอกชื่อจริง และ วันเกิดของเจสัน เป็นฉากเดียวกันกับตอนจบของ ภาค ๒

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

The Bourne Supremacy



แนวหนัง (ภาค ๒) : บู๊ ตื่นเต้น เร้าใจ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เจสัน บอร์น กับ มารี ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ โกอา ประเทศอินเดีย เจสันมักจะมีอาการปวดหัว เวลาที่มีภาพเหตุการณ์บางอย่างในอดีต ผุดขึ้นมาในสมองของเขา เจสันเริ่มรู้สึกท้อ ที่เขายังจำอดีตไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มารีก็ยังคอยให้กำลังใจเขาอยู่เสมอ ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน พาเมล่า หรือ แพม ได้ส่งสายลับ ๒ คนเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง เพื่อซื้อแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับ อดีตนักการเมืองรัสเซียชื่อ เนสกี้ กับเงิน ๒๐ ล้านเหรียญที่หายไปเมื่อ ๗ ปีก่อน แต่กลับมีนักฆ่าคนหนึ่ง วางระเบิดระบบไฟฟ้า ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งตึก แล้วฆ่าสายลับทั้ง ๒ คน ชิงเอาแฟ้มข้อมูล พร้อมทั้งเงิน ๓ ล้านเหรียญไปให้ ยูริ มหาเศรษฐีธุรกิจน้ำมันชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้จ้างนักฆ่า

     เจสัน วิ่งออกกำลังกายริมชายหาด แล้วแวะตลาด เห็นนักฆ่าซึ่งกำลังถามหาเขา เจสันจึงรีบขับรถไปรับมารีอีกด้านของตลาด นักฆ่าเห็นเข้าพอดี จึงเกิดการขับรถไล่ล่ากัน เจสันบอกให้มารีขับรถแทนเขา ไปยังสะพาน มารีถูกนักฆ่ายิงตายทันที ทำให้รถตกสะพานลงไปในน้ำ เจสันรู้สึกเสียใจมาก ที่ไม่สามารถช่วยมารีไว้ได้ แต่ก็ต้องหลบขึ้นฝั่งไปตามลำพัง เมื่อนักฆ่าไม่เห็นใครโผล่ขึ้นมาจากน้ำ จึงคิดว่า ได้ทำงานสำเร็จแล้ว

     แพม ได้ลายนิ้วมือจากระเบิดที่ไม่ทำงาน เมื่อเทียบลายนิ้วมือ ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ก็พบว่า ตรงกับปฏิบัติการเทรดสโตน ซึ่งไม่สามารถเปิดดูได้ ส่วนเจสันก็เผาเอกสารต่างๆ แล้วเก็บของ ออกเดินทาง แพมถูกหัวหน้าตำหนิที่ทำงานพลาด เธอจึงขอดูแฟ้มข้อมูลเทรดสโตน เพื่อหาเจ้าของลายนิ้วมือ จนพบว่า เป็นลายนิ้วมือของ เจสัน บอร์น แพมจึงโทร.นัดพบ วอร์ด อดีตหัวหน้าใหญ่ ในปฏิบัติการเทรดสโตน เพื่อขออนุญาตดู แฟ้มข้อมูลเทรดสโตนทั้งหมด วอร์ดจึงเล่าเรื่องของเจสันให้ฟัง แพมคิดว่า เจสันกับอดีตหัวหน้าที่ตายไป ร่วมมือกันฉ้อโกงเงิน ๒๐ ล้านเหรียญ

     เจสัน ใช้พาสปอร์ตที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเนเปิ้ล จึงถูกจับ และ สอบสวน เจสันนั่งนิ่งไม่ยอมพูดอะไร แพมรู้เข้าจึงสั่งลูกน้อง ให้โทร.ไปบอกให้กักตัวเอาไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรับโทรศัพท์เสร็จ เจสันก็ลงมืออย่างฉับไว ทำให้เจ้าหน้าที่ฯสลบ แล้วทำสำเนาซิมมือถือของเจ้าหน้าที่ฯ ก่อนจะหลบหนีออกไป เมื่อเจ้าหน้าที่ฯฟื้นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ แพมบอกเจ้าหน้าที่ฯว่า เจสันเคยฆ่าคนไป ๒ คน และ ชิงของสำคัญที่เบอร์ลิน เจสันได้แอบดักฟัง พร้อมทั้งบันทึกการสนทนานี้ไว้ วอร์ดไปตามตัวนิคกี้ มาอธิบายงานที่เคยทำในเทรดสโตน ให้แพมฟัง นิคกี้เล่าว่า เธอมีหน้าที่ประสานงาน และ คอยเฝ้าสังเกตุ อาการผิดปกติทางจิตของนักฆ่าด้วย เธอยังบอกอีกว่า เจสัน บอร์น ไม่ได้พลาดที่ใช้พาสปอร์ตเก่า แต่เขาตั้งใจปรากฏตัวต่างหาก แพมจึงสั่งให้นิคกี้ไปเบอร์ลินด้วยกัน

     นักฆ่าอีกคนกลับถึงบ้าน พบว่า เจสันได้ดักรอเขาอยู่ในบ้าน เจสันถามถึงเทรดสโตน แพม และ เหตุการณ์ในเบอร์ลิน นักฆ่าตอบว่า เทรดสโตนถูกปิดไปนานแล้ว เขาไม่รู้เรื่องแพม และ เบอร์ลิน แต่เขาได้ส่งสัญญาณแจ้งหน่วยงานไปแล้ว เพราะคิดว่า เจสันจะมาฆ่าเขา นักฆ่าฉวยโอกาสที่เจสันเผลอ ทำร้ายเจสัน จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อเจสันจัดการนักฆ่าได้แล้ว เขาก็ทำให้แก๊สรั่ว และ เอาหนังสือเสียบลงในเครื่องปิ้งขนมปัง ก่อนออกไป เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งมาถึง หนังสือก็ไหม้พอดี จึงเกิดการระเบิดขึ้น

     หลังจากนั้น เจสันได้โทร.ไปยังโรงแรมต่างๆในเบอร์ลิน เพื่อสืบหาจนรู้ว่า แพมอยู่ที่ไหน แล้วจึงสะกดรอยตามไป จนถึงตึกที่ทำการ แพมสั่งลูกน้องทุกคนให้ช่วยกัน ค้นหาข้อมูลทุกอย่างของ เจสัน บอร์น เจสันซึ่งอยู่บนดาดฟ้าตึกฝั่งตรงข้าม ใช้กล้องเล็งปืนส่องดู แล้วโทร.หาแพม เพื่อถามว่า สั่งคนตามล่าเขาทำไม แพมจึงพูดถึงแฟ้มข้อมูลเนสกี้ ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์เลือนลางในอดีต ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขาอีกครั้ง เขาจึงบอกแพมว่า อยากเข้าไปพบ แต่ต้องให้นิคกี้ซึ่งรู้จักเขาพาเข้าไป จึงนัดให้นิคกี้ไปรอพบเขา

     นิคกี้ ยืนรอเจสันอยู่ในย่านชุมชน ที่มีการเดินขบวนประท้วง โดยมีคนของแพมปลอมตัว ปะปนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจำนวนมาก เจสันโทร.บอกให้นิคกี้ขึ้นรถราง แพมจึงสั่งลูกน้องให้ไปพานิคกี้ออกมา แต่เจสันได้พานิคกี้ลงจากรถไปก่อนแล้ว ระหว่างพาเดินลงสถานีรถไฟใต้ดิน เจสันถามนิคกี้ว่า แพมเป็นใคร นิคกี้ตอบไปตามความจริงที่รู้ และ ยังบอกอีกว่า วอร์ดเคยเป็นคนคุมเทรดสโตน เจสันจึงถามถึงภารกิจแรกของเขาที่เบอร์ลิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับอดีตหัวหน้า และ เนสกี้ นิคกี้บอกว่า ไม่เคยรู้เรื่องภารกิจที่เบอร์ลินเลย เจสันจึงทิ้งนิคกี้ไว้



     ลูกน้องคนสนิทของวอร์ด พาวอร์ดไปดูจุดที่นักฆ่าวางระเบิด แล้วบอกกับวอร์ดว่า วิธีการแบบนี้ไม่ใช่ฝีมือของ เจสัน บอร์น แน่ๆ วอร์ดจึงฆ่าลูกน้องเสีย เจสันสืบค้นข้อมูลคดีของเนสกี้จากอินเตอร์เน็ต ข่าวระบุว่า เนสกี้ถูกภรรยาฆ่าตาย แล้วฆ่าตัวตายตาม เจสันเริ่มนึกออกบ้างแล้ว จึงไปเช่าห้องโรงแรมที่เคยเกิดเหตุ พนักงานโรงแรมเห็นรูปของเจสันจากแฟกซ์ จึงโทร.แจ้งตามใบประกาศ เจสันเข้าไปดูห้อง ที่เนสกี้ถูกฆ่าตาย ทำให้นึกออกว่า เขาเป็นคนฆ่าเนสกี้ และ ภรรยา

     ในขณะเดียวกัน มีตำรวจมาถึงโรงแรม เจสันจึงรีบหนี แต่ก็ไปเจอตำรวจอีกหลายคน แห่กันมาตามจับเขา เจสันจึงวิ่งขึ้นสะพาน แล้วกระโดดลงเรือที่แล่นผ่านมา ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย แต่ก็ต้องรีบหนีต่อไป
เจสันใช้ตะขอเกี่ยว โหนใต้สะพาน ปีนกลับขึ้นไปอีกด้าน แล้วขึ้นรถไฟหนีรอดไปได้ แพมเพิ่งมาถึงโรงแรม จึงเข้าไปดูห้องที่เจสันเข้าไป เธอจำได้ว่า เป็นห้องที่เนสกี้ตาย จึงเดาออกว่า เนสกี้ไม่ได้ถูกภรรยาฆ่าตายตามข่าว วอร์ดมาถึงโรงแรมก็รู้ตัวว่า เจสันจำเรื่องเนสกี้ได้แล้ว

     วอร์ด รีบกลับโรงแรมที่พัก เพื่อโทร.บอกยูริให้ฆ่าเจสันอีกครั้ง หลังจากวางสาย วอร์ดก็รู้ว่า เจสันเดินมาข้างหลัง แต่ก็สายเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ วอร์ดคิดว่า เขาไม่รอดแน่ จึงสารภาพกับเจสันว่า ที่ต้องใส่ร้าย และ สั่งฆ่าเจสัน ก็เพราะในแฟ้มข้อมูล
เนสกี้นั้น มีหลักฐานเชื่อมโยงวอร์ดกับคดีเนสกี้อยู่ด้วย เจสันได้อัดเทป ตั้งแต่การสนทนาทางโทรศัพท์ จนถึงคำสารภาพนั้นไว้แล้ว เจสันบอกว่า มารีไม่ต้องการให้เขาฆ่าใคร จึงปล่อยวอร์ดไว้ตามลำพัง ในเวลาต่อมา แพมได้เข้าไปหาวอร์ดในห้อง พบว่า วอร์ดกำลังถือปืนเล็งมาที่ตัวเธอ วอร์ดได้สารภาพผิด ก่อนยิงตัวตายต่อหน้าแพม หลังจากนั้นไม่นานนัก แพมก็ได้รับเทปคำสารภาพม้วนนั้น

     แพม เห็นภาพจากกล้องวงจรปิด ในสถานีรถไฟ จึงรู้ว่า เจสันกำลังเดินทางไปกรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ยูริได้ติดต่อนักฆ่าคนเดิม บอกให้ทำงานต่อให้สำเร็จ เมื่อถึงมอสโคว เจสันเดินทางไปยังบ้านลูกสาวของเนสกี้ แต่ไม่มีใครอยู่ เขาจึงถามคนแถวนั้นจนรู้ว่า เธอได้ย้ายไปนานแล้ว ทันใดนั้น เจสันก็รู้ตัวว่า ตำรวจรัสเซียกำลังตามมาจับเขา เจสันจึงรีบหนีไป นักฆ่าเห็นเจสันจากด้านหลัง จึงยิงถูกเจสันจนล้มลง แต่พอจะยิงซ้ำ ก็มีตำรวจเข้าจับนักฆ่า เจสันจึงฉวยโอกาสหลบหนีไป เมื่อตำรวจค้นตัวนักฆ่าก็พบ บัตรประจำตัวตำรวจ จึงปล่อยไป

     เจสัน เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อหยิบของที่ใช้ในการทำแผล แล้วเดินออกทางด้านหลัง ส่วนนักฆ่าก็กำลังตามมาติดๆ เจสันจึงขโมยรถแท็กซี่ขับหนีไป นักฆ่ารีบขับรถตาม จึงเกิดการไล่ล่ากันบนท้องถนน จนมีการเฉี่ยวชนกันมากมาย เจสันขับรถหนีทั้งนักฆ่า และ ตำรวจ พร้อมกับต้องทำแผลที่ไหล่ซ้ายไปด้วย เจสันสามารถสลัดพ้นจากตำรวจ เข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน แต่นักฆ่าไล่กวดตามมาทัน เจสันจึงขับชนเข้าด้านข้างรถของนักฆ่า แล้วหมุนพลิกดันรถนักฆ่าไปข้างหน้า จนชนเข้ากับสันกำแพง ที่แบ่งเป็นทางแยก เจสันถือปืนลงมา เหมือนจะยิงนักฆ่าที่บาดเจ็บสาหัส แต่เขาไม่ทำ แล้วก็เดินจากไป หลังจากนั้น ยูริก็ถูกตำรวจจับกุม โดยฝีมือของแพม

     ลูกสาวของเนสกี้ กลับถึงบ้านก็พบว่า มีชายคนหนึ่งถือปืนนั่งรอเธออยู่ เจสันบอกกับเธอว่า แม่ของเธอไม่ได้ฆ่าพ่อ
ของเธอตาย แล้วฆ่าตัวตายตามข่าว ความจริงก็คือ เขาเป็นคนฆ่าทั้งคู่ เดิมทีนั้นเจสันจะต้องฆ่าเนสกี้เพียงคนเดียว แต่แม่ของเธอเดินเข้ามาพอดี จึงต้องเปลี่ยนแผน เมื่อสารภาพบาปเสร็จแล้ว เจสันก็เดินจากไป

     ที่นิวยอร์ค เจสันโทร.หาแพม เพราะรู้ว่า เธอยังคงตามหาเขาอยู่ แพมบอกว่า ต้องการที่จะขอบคุณสำหรับเทป และ ขอโทษต่อเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ก่อนจะจบการสนทนา แพมยังบอกอีกว่า ชื่อที่แท้จริงของเจสันก็คือ เดวิด เว็บบ์ และ ยังบอกวันเกิดของเขาอีกด้วย

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

The Bourne Identity



แนวหนัง (ภาค ๑) : บู๊ ตื่นเต้น เร้าใจ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ชายคนหนึ่ง ถูกชาวประมงช่วยขึ้นมาจากกลางทะเล แพทย์ประจำเรือได้ผ่าเอากระสุนปืน ๒ นัด ออกจากหลัง กับ แค็ปซูลฉายแสงขนาดจิ๋ว ที่บอกรหัสบัญชี และ ชื่อธนาคาร ออกจากใต้ผิวหนัง บริเวณสะโพกของเขา เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ก็พบว่า เขาจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อของตัวเอง ไม่กี่วันต่อมา เมื่อเขาได้ขึ้นฝั่งที่เมืองซูริค เขาแวะนอนค้างคืนในสวนสาธารณะ มีตำรวจ ๒ คน มาปลุกให้ตื่น และ พยายามใช้กระบองไล่เขาออกไป แต่จู่ๆร่างกายของเขา ก็เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบโดยอัตโนมัติ เขาจึงสามารถทำให้ตำรวจทั้ง ๒ คน หมดสติลงได้อย่างรวดเร็ว

     เช้าวันรุ่งขึ้น เขาไปธนาคาร ยื่นรหัสบัญชีให้พนักงาน แล้วผ่านการสแกนลายมือ เพื่อเข้าไปในห้องนิรภัย เมื่อเปิดกล่องรับฝากของธนาคารออก เขาก็พบ ปืนพก เงินสดจำนวนมาก และ พาสปอร์ตที่มีรูปของเขาอยู่หลายใบ โดยมีชื่อต่างๆกัน ใบแรกนั้นใช้ชื่อว่า เจสัน บอร์น เขาหยิบเอาเงินกับพาสปอร์ตไป ทิ้งปืนไว้ในกล่อง เมื่อเขาเดินออกไป พนักงานธนาคารคนหนึ่งรีบโทรศัพท์ แจ้งหน่วยงานลับภายใต้ชื่อปฏิบัติการ เทรดสโตน ว่าพบเห็น เจสัน บอร์น

     เจสัน รู้ตัวว่า มีตำรวจตามมา จึงหลบเข้าไปในสถานทูตอเมริกา ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ในสถานทูตก็ได้รับคำสั่ง ให้จับตัวเจสันไว้ เจสันจึงต่อสู้อย่างว่องไว แล้วหาทางหลบหนี โดยดูผังอาคาร และ แอบฟังวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ หนีขึ้นชั้นบน ออกด้านหลัง แล้วปีนลงพื้น พบหญิงสาวที่เขาเพิ่งเห็นในสถานทูต จึงจ้างเธอให้ขับรถพาเขาไปส่งที่ปารีส หน่วยงานลับก็สั่งให้มือสังหาร ออกตามล่าเจสัน พร้อมกับสืบค้นประวัติของหญิงสาว จนรู้ว่าเธอชื่อ มารี รวมทั้งประวัติของเธอ และ ครอบครัว

     มารี เล่าเรื่องราวต่างๆของเธอ ให้เจสันฟัง ในระหว่างเดินทาง เจสัน ก็ได้บอกความจริงให้มารีฟังว่า เขาเป็นโรคความจำเสื่อม และ กำลังสืบหาประวัติของตัวเอง เมื่อถึงปารีส เจสันชวนมารีเข้าไปในที่พัก ตามที่อยู่ในพาสปอร์ต หลังจากนั้น ไม่นานนัก ก็มีนักฆ่าคนหนึ่งบุกเข้าไป จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อทำงานไม่สำเร็จ นักฆ่าจึงโดดตึกฆ่าตัวตาย มารีตกใจมาก เพราะได้เห็นรูปของตัวเอง รวมอยู่กับรูปของเจสัน อยู่ในถุงของนักฆ่า เจสันจึงรีบพามารีขับรถหนีไป เจสันแวะสนามบิน เพื่อหาที่ฝากถุงใส่เงิน แล้วบอกให้มารีไปหาตำรวจ และ บอกความจริง แต่มารีไม่ยอมไป ทันใดนั้น เจสันก็เห็นตำรวจกำลังเข้ามาใกล้ จึงรีบขับรถพามารีหนีไปด้วยกัน เขาขับรถหนีเข้าซอย ลงบันได ขับสวนทางเข้าไปในวันเวย์ แล้วลัดเลาะเข้าไปจอดในตึกแห่งหนึ่ง เขาบอกมารีว่า ต้องทิ้งรถไว้ และ ต้องปลอมตัว


     เจสัน เช่าห้องพัก แล้วช่วยย้อมสีผม ตัดเปลี่ยนทรงผมให้มารี หลังจากนั้น เจสันขอให้มารีช่วยเข้าไปสืบดู ในโรงแรมที่เขาเคยพักโดยใช้ชื่อ เคน ซึ่งทางโรงแรมแจ้งว่า เคนประสบอุบัติเหตุ ตายไปแล้ว มารีได้ขอสำเนาเอกสารเกี่ยวกับเคนออกมาให้ เจสันจึงโทร.เช็คข้อมูลตามเอกสาร แล้วใช้ชื่อ เคน สืบต่อจนรู้ว่า เขาเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับ เรือของชายผิวดำคนหนึ่งชื่อ วอมโบซิ เจสันกับมารีไปยังที่เก็บศพ เพื่อขอดูศพเคน แต่มีคนมารับศพไปก่อนแล้ว ทั้งคู่จึงไปหาวอมโบซิ แต่ก็ช้าเกินไปอีก วอมโบซิเพิ่งถูกฆ่าตาย โดยนักฆ่าที่หน่วยงานลับส่งมา เจสันได้รู้จากข่าวหนังสือพิมพ์ว่า เขาเคยใช้ชื่อ เคน เพื่อวางแผนลอบสังหาร วอมโบซิ แต่ไม่สำเร็จ

   เจสัน พามารีหนีตำรวจ ไปส่งที่บ้านน้องชายของมารี ซึ่งอยู่ในชนบท และ ขอค้างคืนด้วย โดยตั้งใจจะแยกจากไปในวันรุ่นขึ้น แต่เมื่อถึงตอนเช้า เด็กในบ้านบอกว่า สุนัขหายไป เจสันจึงรู้ว่า ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงบอกให้น้องชายของมารี พาเด็กๆเข้าไปหลบในห้องใต้ดิน แล้วจึงหยิบปืนยาวออกไปนอกบ้าน เจสันได้ล่อมือปืนที่ดักซุ่มอยู่ ให้ออกไปสู้กันไกลบ้าน เจสันใช้ไหวพริบ ที่ถูกฝึกมาอย่างดี ยิงถูกมือปืนจนล้มลง มือปืนได้พูดถึง เทรดสโตน ก่อนสิ้นใจ เจสันบอกให้มารีหนีไปกับน้องชาย ส่วนตัวเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้จบ เจสันค้นสิ่งของที่อยู่ในถุงของมือปืน พบโทรศัพท์มือถือ จึงโทร.ไปเบอร์ที่ติดต่อล่าสุด ซึ่งเป็นหน่วยงานลับนั่นเอง เจสันหลอกว่า เขาฆ่ามารีตายแล้ว เพราะเธอเป็นตัวถ่วงเขา แล้วจึงนัดพบกับอดีตหัวหน้าของเขา บนสะพานย่านชุมชนในเมือง โดยให้ไปคนเดียว

     เมื่อถึงเวลานัด เจสันโทร.บอกหัวหน้าว่า เขารู้ว่า มีคนติดตามพร้อมอาวุธ ปลอมตัวอยู่ตามจุดต่างๆ จึงต้องยกเลิกนัด หัวหน้าจึงรีบสั่งให้ นิคกี้ หญิงสาวผู้มีหน้าที่ประสานงานนักฆ่า ให้เก็บของ ทำลายเอกสารลับ และ ปิดหน่วยงานในปารีส เจสันแอบตามไปจนถึงหน่วยงาน แล้วแอบปีนเข้าไปในตึก จับตัวหัวหน้า และ ถามเรื่องเทรดสโตน หัวหน้าบอกเจสันว่า ไม่ได้ส่งเขาไปฆ่าวอมโบซิ แต่เขาทำไปเองโดยพลการ ถึงตอนนี้ เจสันเริ่มนึกออกว่า ขณะที่เขากำลังจะฆ่าวอมโบซิ เขาตกใจที่เห็นเด็กๆ ลูกของวอมโบซิอยู่บนเรือด้วย จึงถูกวอมโบซิยิง
จนตกทะเลไป

     ทันใดนั้น ก็มีชาย ๓ คนบุกเข้ามาช่วยหัวหน้า หลังการต่อสู้อย่างดุเดือด เจสันเป็นฝ่ายชนะ แล้วก็จากไป หัวหน้าจึงค่อยเดินออกมา แต่กลับถูกนักฆ่ายิงตาย โดยคำสั่งของหัวหน้าใหญ่ เพราะทำงานพลาด ไม่สามารถจัดการกับเจสันได้ หน่วยงานลับภายใต้ชื่อปฏิบัติการ เทรดสโตน ถูกสั่งปิดอย่างถาวร หลังจากนั้น เจสันก็เดินทางไปหามารี ซึ่งเปิดร้านให้เช่าสกู๊ตเตอร์ อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

The Phantom



แนวหนัง : บู๊ ๑๕+ ชีวิต วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

ตอนที่ ๑

     คริส มัวร์ หนุ่มนักศึกษาวิชากฎหมายปีสุดท้าย ยามว่างชอบวิ่งกระโดดเหมือนคนบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นกีฬาฝรั่งเศส ที่เรียกว่า Parkour โดยมีเพื่อนสนิทคอยวิ่งตาม และ ถ่ายวีดีโอไปตลอดทาง เพื่อถ่ายทอดสดทาง Internet จนกระทั่ง เพื่อนของเขาตกจากที่สูง ได้รับบาดเจ็บ จนต้องเรียกรถพยาบาล ทำให้เขาได้พบกับ เรนนี่ เพื่อนเก่าสมัยเรียนอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้ทำงานอยู่หน่วยกู้ชีพ เขาตกหลุมรักเธอทันทีที่เห็น แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมากนัก คริส ก็ถูกตำรวจจับกุมตัวไปเสียก่อน โชคดีที่พ่อของเรนนี่เป็นตำรวจนักสืบ คริส จึงได้รับการปล่อยตัว แล้วพาไปหาเรนนี่


     แม่บ้านคนหนึ่ง ถูกล้างสมอง ด้วยการส่งสัญญาณแทรก ผ่านทางโทรทัศน์ดาวเทียม สั่งให้ใส่ยาฆ่าแมลงลงในอาหาร ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นๆ ต้องตายไปถึง ๙ คน จากนั้นเธอก็ฆ่าตัวตาย ดร.เบลล่า ซึ่งทำงานให้มหาเศรษฐี พี่น้องสิงห์ เป็นผู้คิดค้น และ กำลังพัฒนาวิธีการล้างสมองนี้

     คริส ถูกคนกลุ่มหนึ่งจับตัวขึ้นรถ ไปยังที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ริมน้ำ ชายคนหนึ่งแนะนำตัวเองว่า เขาคือ ผ.อ.ขององค์กรลับ บ๊าบแทฟ ซึ่งอยู่บน เกาะเบนกาล่า เขาบอกกับคริสว่า ชื่อเดิมของคริส ก็คือ คิท วอร์คเกอร์ แม่แท้ๆของคิทถูกคนร้ายตามไล่ล่า จนขับรถตกน้ำไปพร้อมกับคิท ตั้งแต่คิทยังเด็ก โดยมี คิท รอดชีวิตมาได้คนเดียว แต่เขาก็จำอะไรแทบไม่ได้ ครอบครัวมัวร์จึงรับคิท ไปเลี้ยงเป็นลูก บ๊าบแทฟ ทำงานให้บรรพบุรุษในตระกูล วอร์คเกอร์ เจ้าของฉายา เดอะแฟนท่อม (The Phantom) หรือ ผีเดินได้ ตลอดมา รวมทั้งพ่อของคิท ซึ่งเป็นรุ่นที่ ๒๑ ด้วย บ๊าบแทฟ จึงต้องการให้ คิท เป็นแฟนท่อม รุ่นที่ ๒๒ ต่อจากพ่อแท้ๆของเขาที่ตายไป


     คิท ไม่ยอมรับ แม้ส่วนลึกๆในใจของเขาจะรู้ว่า มันคือเรื่องจริง เมื่อคิทกลับถึงบ้าน ก็ต้องตกใจ และ เสียใจมาก เขาพบศพ พ่อ และ แม่บุญธรรมของเขา ในห้องน้ำ มีคนร้าย ๒ คน อยู่ในบ้าน คิทจึงรีบวิ่งกระโดดหนี คนร้ายรีบตามไปติดๆ จนกระทั่ง คิทล่อให้คนร้ายคนหนึ่ง ตกจากที่สูงตาย คิทจึงหนีไปได้ และ รีบไปหาผ.อ.ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ เมื่อผ.อ.รู้เรื่องจากคิท จึงอธิบายว่า คนร้าย ๒ คนนั้นคือ นักฆ่าคู่แฝด รูค เป็นลูกน้องของสิงห์ ผ.อ.จึงรีบพาคิทหนี คิทจำใจต้องละทิ้งทุกอย่าง ที่เขาเคยเป็น รวมถึงทุกคนที่เขารู้จักด้วย เมื่อเดินทางไปถึง เกาะเบนกาล่า คิทถูกพาไปยัง ถ้ำหัวกะโหลก ที่บรรพบุรุษของเขาเคยอยู่ คิทได้อ่านสมุดบันทึกของ แฟนท่อม ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นพ่อของเขา แฟนท่อม คนแรกนั้น รอดชีวิตมาจากการปล้นฆ่า ของโจรสลัดพี่น้องตระกูลสิงห์ จึงสาบานว่า จะต่อสู้กับความชั่วร้ายของพี่น้องสิงห์ จนรุ่นลูกรุ่นหลาน


     หลังจาก คิท อ่านสมุดบันทึกแล้ว จึงยอมเป็น แฟนท่อม โดยต้องรับการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทั้งร่างกาย ศิลปการต่อสู้ การใช้อาวุธ และ สติปัญญา ดร.บาบัวร์ นักวิทยาศาสตร์ ผู้ดูแลด้านเทคโนโลยีของ บ๊าบแทฟ ได้มอบชุดแฟนท่อมรุ่นใหม่ ให้คิททดลองใช้ ชุดนี้จะช่วย เพิ่มพลังให้ผู้ใส่เป็น ๒.๕ เท่าของปกติ สามารถป้องกันกระสุนปืน และ การบาดเจ็บต่างๆอีกด้วย

     เรนนี่ รู้สึกไม่สบายใจ ที่ไม่ได้ข่าวของคิทเลย พ่อของเรนนี่กับคู่หู จึงเข้าไปสืบหาหลักฐาน ที่บ้านของคิท จนพบร่องรอยบางอย่าง ทำให้คู่หูถูกล้างสมอง ในเวลาต่อมา เมื่อคิทรู้ว่า พ่อของเรนนี่กำลังสืบเรื่องของเขาอยู่ จึงต้องการจะไปเตือน คิทได้พบกับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง ที่ขวางเขาไว้ และ ชี้ให้เขา เห็นแหวนหัวกะโหลก ที่อยู่ในกองไฟ คิทเอื้อมมือเข้าไป หยิบแหวนออกมาอย่างช้าๆ โดยที่มือของเขา ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย แม้แต่น้อย

 

ตอนที่ ๒

     คิท กับ
กูแรน ผู้ช่วยของเขา แอบหลบออกไปจากเกาะ เพื่อไปเตือนพ่อของเรนนี่ ให้รู้ว่า เขาสบายดี และ หยุดสืบเรื่องครอบครัวเขา แล้วพ่อของเรนนี่ก็ถูกคู่หูยิง อาการสาหัส ส่วนคู่หูก็ยิงตัวตาย เพราะการล้างสมองนั้น ไม่สามารถลบความรู้สึกผูกพัน ที่มีต่อผู้เป็นเป้าหมายได้ ขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แฟนท่อม ได้กำจัดมือปืน ที่ถูกส่งมาฆ่าพ่อของเรนนี่ แล้วให้ กูแรน พาเรนนี่กับพ่อ ไปรักษาต่อที่เกาะเบนกาล่า ส่วนคิทก็ตามสืบเรื่องการล้างสมอง จนรู้ว่า สัญญาณถูกส่งมาจาก ตึกทิฟคอมของสิงห์

     แฟนท่อม บุกเข้าไปในตึกทิฟคอม โดยมีผ.อ.บ๊าบแทฟตามมาสมทบ แฟนท่อมได้พบดร.เบลล่า ซึ่งกำลังบาดเจ็บสาหัส ก่อนตาย ดร.เบลล่าได้บอกอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับแผนครองโลกของสิงห์ หลังจากระเบิดตึกทิฟคอม แฟนท่อมกับผ.อ.ก็รีบเดินทางไป ขัดขวางแผนร้าย ในเวลาเดียวกัน เรนนี่กับพ่อก็ถูกคนทรยศจับตัวไว้ แฟนท่อมตีปริศนาที่ดร.เบลล่าบอกไว้ จนรู้เรื่องแผนลอบสังหาร เบน เดวิด นักการทูต ผู้สามารถทำให้ ประเทศที่เคยเป็นศัตรูกัน ยอมหันมาจับมือกันได้ สิงห์ได้ขู่แฟนท่อมว่า ถ้าเขาช่วยเบน เรนนี่กับพ่อจะต้องตาย ผ.อ.จึงสั่งให้กูแรน รีบไปช่วยเรนนี่


     เบน ถูกยิงบาดเจ็บ โดยช่างภาพที่ถูกล้างสมอง และ กำลังจะถูกหัวหน้ารปภ.ของเขาเองยิง แต่แฟนท่อมเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน ตำรวจเข้าใจผิดจึงจับแฟนท่อม แต่เบนห้ามไว้ ก่อนจะถูกพาขึ้นรถพยาบาลไป ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล แฟนท่อมคิดออกว่า มือปืนคนที่สามที่ถูกล้างสมอง ก็คือ บุรุษพยาบาลนั่นเอง แฟนท่อมจึงช่วยเบนไว้ได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน กูแรนก็สามารถจัดการคนทรยศ และ ช่วยเรนนี่กับพ่อไว้ได้

     คิท ได้ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนรู้ว่า ผ.อ.แอบสมคบกับสิงห์มาตั้งแต่ต้น และ ยังอยู่เบื้องหลังการตายของ พ่อแม่บุญธรรมของเขาด้วย ผ.อ.จึงพยายามจะฆ่าคิท โดยการโยนระเบิดใส่คิท แต่คิทใช้ปืนยิงระเบิดเสียก่อน ผ.อ.จึงถูกระเบิดเสียเอง ส่วนสิงห์เมื่อทำงานล้มเหลว ก็ถูกลูกน้องคนสนิทฆ่าตาย ผ.อ.ซึ่งได้แผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้า ก็เข้าไปนั่งแทนที่ เป็นพี่น้องสิงห์คนต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย UNITED ภาพชัด เสียงดี

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

I Love You Phillip Morris



แนวหนัง : ชีวิต ตลก (สร้างจากเรื่องจริง)

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     สตีเว่น รัสเซล นอนอยู่บนเตียงพยาบาล นึกย้อนไปในวัยเด็ก วันที่พ่อ และ แม่ ได้เปิดเผยความจริงว่า เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ได้ถูกรับซื้อมาจากแม่แท้ๆของเขา 
ตอนที่ยังเป็นเด็กทารก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาตั้งใจว่า จะต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆเรื่องให้ได้ เมื่อโตขึ้น เขาได้งานเป็นตำรวจ มีภรรยา และ ลูกสาว ๑ คน เขาต้องการเป็นตำรวจ เพื่อสืบหาแม่ที่แท้จริงของเขา เมื่อเขารู้ว่า แม่อยู่ที่ไหน เขาจึงไปหาแม่ แต่แม่ซึ่งอยู่กับครอบครัวใหม่ ไม่ยอมรับว่าเขาคือลูก ทำให้เขาเสียใจมาก จนลาออกจากงาน แล้วพาครอบครัวย้ายจาก เวอร์จิเนียบีช ไปอยู่ เท็กซัส

     ที่จริงแล้ว สตีเว่น รู้ตัวตั้งแต่เด็ก
แล้วว่า เขาเป็นเกย์ เขามักจะหลอกภรรยาว่า ทำงานหนัก ในขณะที่เขาแอบไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาขับรถผ่านสี่แยก ก็มีรถอีกคันพุ่งเข้ามาชนอย่างแรง ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ตั้งแต่ครั้งนั้น เขาตั้งใจว่า จะเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการจริงๆ เลิกแอ๊บแมนเสียที เขาจึงบอกความจริงกับภรรยา แล้วย้ายไปอยู่ ฟอริด้า มีแฟนใหม่ชื่อ จิมมี่ ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา แต่ลำพังเงินเดือนพนักงานธรรมดานั้น ไม่พอที่จะใช้ชีวิตไฮโซได้ เขาจึงแกล้งทำให้ตัวเองบาดเจ็บ เพื่อเคลมเงินประกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาส่งเงินไปเป็นของขวัญวันคริสมาส ให้อดีตภรรยา และ ลูก จนกระทั่ง บริษัทประกันรู้ทัน จึงแจ้งตำรวจจับ เขาไม่อยากติดคุก จึงกินยาฆ่าตัวตาย จนถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้น เขาพยายามหนี แต่ก็ถูกจับได้

     ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ สตีเว่น ได้เรียนรู้กฎหมาย จากการอ่านหนังสือ จนเมื่อเขาได้พบกับ ฟิลลิป มอร์ริส เขาก็รีบเข้าไปตีสนิท โดยการให้คำแนะนำเรื่องกฎหมาย ทั้งคู่คุยกันถูกคอ แต่วันพรุ่งนี้ ฟิลลิป จะต้องย้ายไปอยู่แดนอื่นแล้ว เขาเสียดายที่รู้จักสตีเว่นช้าไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไหร่ แม้จะอยู่กันคนละแดน สตีเว่นก็ยังใช้เส้นสาย แอบส่งจดหมาย และ ขนม ไปให้ฟิลลิป ทั้งคู่จึงได้คุยกัน ทางจดหมายทุกวัน และแล้ว หลังจากที่ สตีเว่นขาดการติดต่อไป ๓ วัน ฟิลลิปก็ได้พบว่า เพื่อนร่วมห้องขังคนใหม่ของเขา ก็คือ สตีเว่น นั่นเอง สตีเว่น คอยดูแลเอาอกเอาใจ ฟิลลิป ทุกอย่าง ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่ง ทางเรือนจำรู้ว่า สตีเว่นแอบใช้เล่ห์เหลี่ยม ในการย้ายแดน จึงจับเขาแยกไปอยู่เรือนจำที่ห่างไกลกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังส่งจดหมายคุยกันอยู่เสมอ

     ๓ เดือนผ่านไป สตีเว่นได้เป็นอิสระ เขาได้กลายเป็นทนาย และ ใช้เล่ห์เหลี่ยมช่วยให้ ฟิลลิปได้พ้นโทษก่อนกำหนด ทั้งคู่จึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างอิสระ ต่อมา ฟิลลิปได้ขอให้สตีเว่น ช่วยว่าความให้กับ เพื่อนหญิงคนหนึ่ง สตีเว่นก็ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยม หลอกให้ผู้พิพากษา ชี้ช่องทางให้ จนสามารถชนะคดีได้ สตีเว่นจึงมีเงินซื้อบ้านใหม่ และ ยังพาฟิลลิปไปเที่ยว ลงเรือยอร์ช ล่องทะเลด้วยกัน สตีเว่นได้ไปสมัครงาน โดยปลอมแปลงเอกสาร ประวัติการศึกษา และ ประวิติการทำงาน ให้ดูสวยหรู จนได้ตำแหน่ง หัวหน้าแผนกการเงิน ในบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ใช้ความฉลาด แสดงผลงานอันโดดเด่น ทำให้บริษัทได้
กำไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย จนกลายเป็นที่โปรดปราน ของแทบทุกคนในบริษัท


     สตีเว่น ตรวจดูรายงานการเงิน พบว่า มีช่องระหว่างที่เงินเข้าบริษัท จนกระทั่งหมุนเวียนออกไป เงินจำนวนดังกล่าว ไม่ได้ถูกนำไปใช้ทำอะไร จึงได้โอนเงินเข้าบัญชีของตน เพื่อรับดอกเบี้ยในช่วงสั้นๆ จากเงินจำนวนมหาศาล เขาจึงได้รับดอกเบี้ยมากมาย จนสามารถใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย เกินหน้าเพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกัน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งรู้สึกสงสัย จึงแอบตรวจดูรายงานการเงิน และ ยังโทร.ไปสอบถามทางธนาคาร สตีเว่น ได้ยินเข้าพอดี จึงรีบกลับบ้านไป บอกให้ฟิลลิปเก็บของหนี เมื่อฟิลลิปรู้ว่า สตีเว่นแอบยักยอกเงินบริษัท แถมยังโกหกเขามาตลอด จึงรู้สึกเสียใจมาก และ หนีจากไป ส่วนสตีเว่นหนีไม่ทัน เพราะถูกจับได้เสียก่อน สตีเว่นนึกถึงจิมมี่ แฟนเก่าของเขา เมื่อครั้งที่เขาอยู่ระหว่างรอเข้าเรือนจำ จิมมี่ป่วยเป็นโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ก่อนตาย จิมมี่ได้บอกให้เขามีแฟนใหม่ และ ทำดีกับแฟนใหม่ให้มากๆ

     ขณะอยู่ในรถตำรวจ สตีเว่นแอบฉีดยาให้ตัวเอง ทำให้มีอาการชัก น้ำลายฟูมปาก จึงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เมื่อฟื้นขึ้น เขาพยายามหนี แต่ก็ถูกจับได้อีก ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ สตีเว่นได้ใช้เล่ห์เหลี่ยม จนสามารถประกันตัวออกมาได้ แต่ไม่นานนัก ก็ถูกจับได้อีก ต่อมา เขาแกล้งหาเรื่องคนอื่น จนถูกชกที่หน้า เพื่อให้ได้โอกาส ขโมยบัตรประจำตัวของหมอ แล้วแอบย้อมเสื้อผ้า ปลอมตัวเป็นหมอออกไปได้ แต่ไม่นานนัก ก็ถูกจับได้อีก คราวนี้ เขาก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม และ เส้นสายในเรือนจำ ปลอมตัวออกไปได้อีกครั้ง เขาสืบหาจนรู้ที่อยู่ของฟิลลิป จึงตามไปง้อถึงหน้าบ้าน ฟิลลิปยังโกรธเขาอยู่ เพราะเขาเปิดบัญชีที่ใช้ยักยอกเงิน โดยใช้ชื่อของฟิลลิป และ ฟิลลิปก็เพิ่งรู้ว่า สตีเว่นไม่ได้เป็นทนายจริงๆ จึงยิ่งโกรธมาก แต่ยังไม่ทันไร ทั้งคู่ก็ถูกตำรวจตามมาจับ กลับเข้าเรือนจำไป

     ทั้งคู่ถูกแยกขัง อยู่คนละแดนกัน สตีเว่นเสียใจ ป่วย และ ผอมมาก หมอบอกว่า เขาเป็นโรคเอดส์ จึงถูกส่งไปอยู่สถานพยาบาล เมื่อฟิลลิปรู้เข้า ก็รีบไปขอเยี่ยม แต่สตีเว่นไม่อยู่แล้ว หมอบอกว่า สตีเว่นมีอาการขั้นโคม่า เมื่อฟื้นแล้วจึงถูกส่งออกไป แผนกดูแลส่วนตัว ฟิลลิปจึงรีบโทร.ไปหา เพื่อบอกกับสตีเว่นว่า เขายังโกรธอยู่ แต่ก็ไม่เคยหยุดรักสตีเว่นเลย ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว เมื่อสตีเว่นได้ฟังจบก็สิ้นใจ ฟิลลิปได้รู้ข่าวในภายหลัง ก็ร้องไห้เสียใจมาก จนผู้คุมมาเรียก ให้ไปพบทนาย ซึ่งก็คือ สตีเว่น นั่นเอง

     สตีเว่น เล่าว่า เขาแกล้งเป็นเอดส์ เพราะเคยเห็นจิมมี่ตายด้วยโรคเอดส์มาก่อน เขาต้องกินอาหารเพียงครึ่งหนึ่งของปกติ เป็นเวลาถึง ๑๐ เดือน จนผอมซูบ ต้องแกล้งอาเจียน แล้วใช้เงินจ้างคนปลอมแปลงผลตรวจเลือด แล้วยังแอบกินยาให้โคม่าถึง ๔ วัน จนถูกส่งไป แผนกดูแลส่วนตัว จากนั้นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม หลอกให้ส่งไปเข้า โครงการทดลองยา ซึ่งไม่มีอยู่จริง แล้วจึงได้ปลอมเป็นทนาย เพื่อมาหาฟิลลิป แล้วค่อยหาทางช่วยฟิลลิป ให้ได้พ้นโทษก่อนกำหนดอีกครั้งหนึ่ง

     แต่ในวันที่ต้องขึ้นศาล สตีเว่น ได้พบว่า โชคไม่ได้เข้าข้างเขาเสมอไป เพราะว่า หนึ่งในคณะลูกขุน ก็คือ อดีตเพื่อนร่วมงานของเขานั่นเอง แถมอัยการก็ยังเป็น น้องสะใภ้ของอดีตเจ้านายอีกด้วย สตีเว่นจึงถูกจับ ต้องติดคุกตลอดชีวิต ตั้งแต่ปีค.ศ. 1998 ส่วนฟิลลิปได้รับการปล่อยตัว เมื่อปีค.ศ. 2006 ปัจจุบัน สตีเว่นยังถูกขังวันละ ๒๓ ชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่คุมตัวไปอาบน้ำ และ ออกกำลังกาย วันละ ๑ ชั่วโมง

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพค่อนข้างชัด เสียงดี แต่สำหรับเครื่องเล่นบางรุ่น อาจต้องใส่แผ่นหลายรอบจึงจะเล่นได้ และ มีโปรแกรมบังคับให้ดูโฆษณา ไม่สามารถกดปุ่มหนีไปไหนได้ ต้องดูโษณาจนจบก่อน แล้วรออีก ๑๐ วินาที จึงจะเข้าสู่เมนู

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

The Book of Eli



แนวหนัง : บู๊ ๑๘+ (ดุเดือด โหด) ชีวิต ผจญภัย

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เป็นเวลา ๓๐ ปี หลังเกิดสงครามล้างโลก ที่ อีไล ออกเดินทางด้วยเท้า มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ในยุคนั้น อาหาร น้ำ เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก คนที่รอดชีวิตมาจากสงครามฯ ก็เหลือจำนวนน้อยเต็มที แสงแดดก็แผดจ้าเกินกว่าที่ใคร จะอยู่กลางแจ้งโดยไม่ใส่แว่นตาดำได้

     อีไล ได้พบกับหญิง(แกล้ง)ตาบอดคนหนึ่ง ส่งเสียงร้อง ขอความช่วยเหลืออยู่ริมถนน เขาหยุดเดินแล้วหันไปรอบๆ แล้วค่อยตะโกนออกมาว่า เขาได้กลิ่นตัวคนที่แอบซ่อนอยู่ ทันใดนั้น ก็มีชาย ๖ คน เปิดเผยตัวออกมาจากที่ซ่อน ด้วยความแปลกใจว่า อยู่ห่างกันตั้ง ๓๐ ฟุต ยังได้กลิ่นอีก คนเหล่านั้นเป็นโจร ที่ต้องการปล้นอีไล แต่ช่วงเวลาแค่เพียงอึดใจ อีไล ก็สามารถฆ่าชายทั้ง ๖ คนได้ ด้วยดาบเล่มเดียว หญิง(แกล้ง)ตาบอดจึงสารภาพว่า คนเหล่านั้นเป็นมนุษย์กินคน

     อีไล เดินทางต่อไปยังทิศตะวันตก แม้ระหว่างทาง เขาต้องพบการปล้นฆ่ากันหลายครั้ง เขาก็พยายามหลีกเลี่ยง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนกระทั่ง มาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของ คาร์เนกี้ ชายอีกคนที่รอดชีวิตมาจากสงครามฯ และ กำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ อีไล เข้าไปในบาร์ของคาร์เนกี้ เพื่อขอซื้อน้ำดื่ม ระหว่างรอหญิงสาวชื่อ โซลาร่า ไปเอาน้ำมาให้ ลูกสมุนคนหนึ่งของคาร์เนกี้ เดินเข้ามาหาเรื่องกับอีไล เมื่ออีไลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดการต่อสู้กัน ช่วงเวลาแค่เพียงอึดใจ เขาก็สามารถฆ่าลูกสมุนของคาร์เนกี้ ที่รายล้อมอยู่ทั้งหมดได้ คาร์เนกี้ซึ่งเห็นเหตุการณ์จากชั้นบน เรียกอีไลขึ้นไปคุย เพราะต้องการจ้างเขาไปเป็นลูกน้อง แต่เขาปฏิเสธ คาร์เนกี้จึงบอกให้เขาอยู่ค้างคืน เพื่อให้ใช้เวลาไตร่ตรอง โดยมีคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

     ระหว่างที่ อีไล นั่งพักอยู่ในห้อง ก็มีหญิงตาบอด(จริง)นำอาหาร และ น้ำดื่ม มาให้
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย หญิงตาบอดซึ่งเป็นภรรยาของคาร์เนกี้ กลับไปบอกคาร์เนกี้ว่า อีไล คงไม่ยอมเปลี่ยนใจแน่ คาร์เนกี้จึงสั่งให้ โซลาร่า ลูกสาวของหญิงตาบอด ไปนอนกับอีไล แต่อีไลปฏิเสธ โซลาร่าจึงบอกว่า ถ้าเธอออกไปจากห้องตอนนี้ แม่ของเธอจะถูกทำร้าย อีไลจึงยอมให้อยู่ในห้อง ทั้งสองคนนั่งคุยกัน โซลาร่าเห็นหนังสือของอีไล จึงขอดู แม้เธอจะอ่านหนังสือไม่ออก อีไลไม่ยอมให้ดู แต่กลับชวนโซลาร่ากินอาหารด้วยกัน โดยอีไลได้สวดมนต์ก่อนกินอาหารด้วย

     เช้าวันรุ่งขึ้น โซลาร่าเข้าไปหาแม่ และ ท่องบทสวดก่อนอาหาร ที่จำมาจากอีไล คาร์เนกี้ได้ยินเข้า จึงลงมือทำร้ายภรรยา เพื่อบังคับให้โซลาร่าบอกลักษณะหนังสือของอีไล อีไลรีบแอบหนีออกไป แต่คาร์เนกี้กับลูกน้องดักรออยู่กลางถนน หวังปล้นหนังสือของอีไล คาร์เนกี้คิดว่า ข้อความในหนังสือ ที่เขาตามหามานานนั้น สามารถดึงผู้คนมากมาย มาก้มหัวให้เขาได้ เมื่ออีไลไม่ยอมให้ จึงกระหน่ำยิงปืนใส่กัน อีไลยิงถูกขาขวาของคาร์เนกี้ และ ฆ่าลูกน้องของคาร์เนกี้ไปอีกหลายคน แต่อีไลกลับไม่เป็นอะไรเลย ราวกับว่า มีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น คอยคุ้มครองเขาอยู่ เขาจึงได้โอกาสหนีไป


     โซลาร่า รีบตามอีไลไปจนทัน และ ขอติดตามไปด้วย เพราะแม่บอกว่า จะปลอดภัยกว่าอยู่กับคาร์เนกี้ โดยโซลาร่าบอกอีไลว่า จะพาไปหาแหล่งน้ำ เมื่อไปถึงถ้ำแหล่งน้ำ อีไลปิดประตูขังโซลาร่าเอาไว้ ให้รอคนอื่นมาเปิด แล้วออกเดินทางต่อไป ในขณะเดียวกัน คาร์เนกี้ก็กำลังออกตามล่าอีไลอยู่ เมื่อโซลาร่าออกมาจากถ้ำแหล่งน้ำได้ ก็รีบตามไปหาอีไล จนมาเจอหญิง(แกล้ง)ตาบอด คนเดียวกับที่อีไลเคยเจอ เมื่อเห็นว่าโซลาร่าเป็นผู้หญิง จึงบอกให้รีบไปไกลๆ แต่ยังไม่ทันไร ก็มีชาย ๒ คน เข้ามาจับตัวโซลาร่าไป หมายจะข่มขืน ทันใดนั้น ทั้ง ๒ คน ก็ถูกยิงตายด้วยธนู อีไลย้อนกลับมาช่วยโซลาร่าไว้ แล้วจึงเดินทางต่อไปด้วยกัน

     ในคืนเดียวกันนั้น โซลาร่าได้ขอให้อีไล อ่านหนังสือให้เธอฟังบ้าง อีไลท่องบางส่วนของหนังสือให้ฟัง แล้วยังบอกอีกว่า หนังสือของอีไลนั้น มีเพียงเล่มเดียวในโลกเท่านั้น เพราะเล่มอื่นๆได้ถูกเผาทิ้งไปหมดแล้ว หลังสิ้นสุดสงครามล้างโลก ๑ ปี มนุษย์ที่เคยหลบภัยอยู่ใต้ดิน เริ่มกลับขึ้นมาบนพื้นดิน ในตอนนั้น อีไลได้ยินเสียงอยู่ในหัว บอกให้นำหนังสือเล่มนี้ไปยังทิศตะวันตก เขาจึงได้ออกเดินทางมาเป็นเวลา ๓๐ ปี หลังจบการสนทนาไม่นานนัก โซลาร่าเห็นอีไลนั่งหลับ จึงแอบย่องเข้าไป หมายจะหยิบหนังสือ แต่อีไลก็ห้ามไว้ได้ทัน และ บอกว่า เขาไม่ได้หลับ

     เช้าวันใหม่ อีไลกับโซลาร่า รีบออกเดินทางต่อ จนไปพบบ้านไม้หลังหนึ่ง จึงเดินเข้าไปดู แต่พอจะเปิดประตู พื้นที่ยืนอยู่ก็เปิดออก ทั้งคู่ตกลงไปในหลุม ชายชรากับหญิงชราเจ้าของบ้าน เปิดประตูออกมาดู เมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงมาด้วย จึงเชิญให้เข้าไปในบ้าน พร้อมทั้งต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ไม่นานนัก อีไลก็มองออกว่า เจ้าของบ้านเป็นมนุษย์กินคน จึงใช้ปืนขู่เพื่อที่จะรีบหนีออกไป

     แต่เมื่ออีไลเปิดประตูออก ก็ต้องเปลี่ยนใจทันที เพราะคาร์เนกี้กับลูกน้อง ได้ตามมาถึงหน้าบ้านแล้ว ทั้ง ๔ คนในบ้าน จึงต้องช่วยกันสู้รบกับฝ่ายคาร์เนกี้ ทั้งปืนทั้งระเบิดถูกใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะฆ่าลูกน้องของคาร์เนกี้ได้หลายคน แต่ในที่สุด ชายชรากับหญิงชราก็ถูกฆ่าตาย อีไลกับโซลาร่าถูกจับ คาร์เนกี้พูดขู่อีไลว่า ถ้าไม่มอบหนังสือมาให้ ก็จะฆ่าโซลาร่าเสีย อีไลจึงยอมบอกที่ซ่อนหนังสือ เมื่อคาร์เนกี้ได้หนังสือแล้ว ก็ยิงอีไลเข้าที่ท้อง จนหมดสติไป แล้วพาโซลาร่าขึ้นรถกลับไป

     ในระหว่างเดินทางกลับ ในรถคันสุดท้าย โซลาร่าใช้เชือกรัดคอคนขับรถ ทำให้รถพลิกคว่ำ รถที่อยู่ข้างหน้า ๒ คัน จึงกลับรถย้อนมา โซลาร่าจึงโยนระเบิดใส่รถอีกคัน แล้วรีบขโมยรถขับหนีไป คาร์เนกี้เหลือรถคันเดียว กับลูกน้องคนเดียว แถมยังมีน้ำมันเหลือไม่มาก จึงต้องหยุดตามล่าโซลาร่า แล้วกลับเมืองไป โซลาร่ารีบกลับไปดูอีไล พบอีไลเดินช้าๆอยู่ริมถนน จึงช่วยทำแผลเท่าที่ทำได้ และ รับเขาขึ้นรถ เพื่อเดินทางต่อไปยังทิศตะวันตก

     อีไล บอกโซลาร่าว่า เขาได้กลิ่นทะเล หลังจากนั้นไม่นาน ก็มาถึงสะพานขาด ทั้งคู่จึงลงเรือที่จอดทิ้งไว้ แล้วผลัดกันพายออกไปยังเกาะที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า เมื่อถึงเกาะซึ่งมีอาคารตั้งอยู่ อีไลบอกกับคนถือปืนที่เฝ้ายามอยู่ว่า เขามีคัมภีร์ไบเบิ้ลมาด้วย ยามจึงยอมให้เข้าไปพบกับ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น คาร์เนกี้ให้ช่างเปิดกุญแจ ที่ล็อกหนังสืออยู่ จนได้รู้ว่า หนังสือของอีไล ถูกพิมพ์ด้วยอักษรเบลล์ สำหรับคนตาบอด คาร์เนกี้จึงต้องผิดหวังอย่างรุนแรง เขาเรียกภรรยาตาบอดมา เพื่ออ่านให้เขาฟัง หลังจากได้สัมผัสหน้าหนังสือ เธอยิ้มพร้อมกับบอกว่า จำอักษรเบลล์ไม่ได้ เพราะไม่ได้อ่านหนังสือมานานมากแล้ว เธอยังบอกอีกว่า เธอได้กลิ่นแผลที่ขาของเขากำลังเน่า ลูกน้องซึ่งเหลือเพียงแค่คนเดียว ก็ไม่สามารถควบคุมใครได้อีกต่อไป คาร์เนกี้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

     อีไล บอกให้ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ จดข้อความตามที่เขาบอกทุกตัวอักษร อีไลสามารถท่องทุกคำในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ เมื่อข้อความในหนังสือถูกถ่ายทอดออกไปจนหมด อีไลก็สิ้นใจลงอย่างสงบ คัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับตัวอักษรปกติ จึงได้ถูกพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มแรก ในรอบ ๓๐ ปี ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ได้เสนอให้โซลาร่าอยู่ต่อ แต่โซลาร่าตัดสินใจที่จะเดินทางกลับบ้าน โดยได้เอาสิ่งของที่เคยเป็นของอีไล ติดตัวไปด้วย

จุดสังเกตุ : ตอนท้ายเรื่อง ขณะที่อีไลเริ่มท่องคัมภีร์ไบเบิ้ล กล้องซูมเข้าไปที่ดวงตาของอีไล เหมือนกับจะบอกว่า อีไล เป็นคนตาบอด นั่นคือเหตุผลที่ อีไล สามารถได้กลิ่น และ เสียงที่อยู่ไกล มากกว่าคนทั่วไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี แต่สำหรับเครื่องเล่นบางรุ่น อาจต้องใส่แผ่นหลายรอบจึงจะเล่นได้

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

Prince of Persia : The Sands of Time



แนวหนัง : บู๊ ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     กษัตริย์แห่งนครเปอร์เซีย ได้เห็นความกล้าหาญของเด็กชาย ดัสแทน เด็กกำพร้าที่กำลังช่วยเด็กอีกคนหนึ่ง ให้รอดพ้นจากการจับกุมของทหารในตลาด จึงสั่งให้ นีซาม ผู้เป็นน้องชาย นำตัวดัสแทนกลับเข้าวังไปด้วย และ ได้ชุบเลี้ยงให้เป็น เจ้าชายดัสแทน ผู้ไม่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์

     ๑๕ ปีผ่านไป เจ้าชายรัชทายาท ทัส เจ้าชายองค์รอง การ์ซิฟ ซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรง เจ้าชายดัสแทน กับ อาของพวกเขา ได้รับรายงานจากสายว่า นครอาลมัธ แอบขายอาวุธสงคราม ให้แก่ศัตรูของเปอร์เซีย เจ้าชายทัสจึงสั่งยกทัพบุกเข้าตีนครอาลมัธ โดยให้เจ้าชายการ์ซิฟเป็นผู้นำกองทัพ แต่เจ้าชายดัสแทนเห็นว่า การโจมตีโดยตรงของเจ้าชายการ์ซิฟ จะทำให้ผู้คนต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงได้นำทหารจำนวนหนึ่ง แอบลักลอบปีนเข้าเมืองทางกำแพงด้านข้าง ในขณะที่ทหารอาลมัธสนใจแต่กองทัพใหญ่ ที่กำลังโจมตีอยู่ด้านหน้า และ ได้เปิดประตูเมืองให้กองทัพเปอร์เซียเข้ายึดเมืองได้สำเร็จ

     ในระหว่างนั้น เจ้าหญิงแห่งอาลมัธ ทามินา ได้มอบกริชวิเศษให้องครักษ์ เพื่อนำไปซ่อนยังที่ปลอดภัย แต่ก็เกิดการต่อสู้ระหว่างองครักษ์ กับ เจ้าชายดัสแทน เจ้าชายดัสแทนชนะ จึงได้กริชไป เมื่อเจ้าชายทัสมาถึง และ
ได้เห็นความงดงามของเจ้าหญิงทามินา จึงได้เอ่ยปากยื่นข้อเสนอแกมบังคับ ให้เจ้าหญิงฯแต่งงานกับตน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองเมือง เมื่อเจ้าหญิงฯเห็นว่า กริชวิเศษอยู่กับเจ้าชายดัสแทน จึงยอมตกลงแต่งงาน

     เจ้าชายทัสได้มอบเสื้อคลุมให้เจ้าชายดัสแทน เพื่อให้เป็นของขวัญแด่กษัตริย์ เมื่อเดินทางมาถึง กษัตริย์ได้ตำหนิเจ้าชายทัส ที่บุกยึดนครอาลมัธโดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด จนเป็นที่ไม่พอใจแก่เมืองอื่นๆ และ ยังได้บอกให้เจ้าชายดัสแทนแต่งงานกับเจ้าหญิงทามินา เพราะเจ้าชายทัสมีชายาอยู่แล้ว เจ้าชายดัสแทนมอบเสื้อคลุมให้กษัตริย์ โดยไม่รู้ว่า เสื้อคลุมนั้นถูกอาบยาพิษไว้ เมื่อกษัตริย์ถูกพิษจนผิวไหม้เสียชีวิต ทำให้ทุกคนคิดว่า เป็นความตั้งใจของเจ้าชายดัสแทน จึงเกิดการต่อสู้กัน เจ้าหญิงฯได้โอกาสพาเจ้าชายดัสแทนหนีไป เพราะรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี และ หวังที่จะฆ่าเจ้าชายดัสแทนในภายหลัง เพื่อชิงกริชวิเศษกลับคืน

     เมื่อหลบหนีไปถึงกลางทะเลทราย เจ้าหญิงฯก็เริ่มทำตามแผนที่คิดไว้ แต่เจ้าชายดัสแทนได้กดปุ่มที่อยู่ปลายด้ามของกริชเข้า โดยบังเอิญ ทำให้เจ้าชายดัสแทน สามารถย้อนเวลากลับไป ก่อนที่เจ้าหญิงฯจะเริ่มลงมือ เจ้าชายดัสแทนจึงได้รู้ถึงความวิเศษของกริช และ คิดว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นแผนการณ์ของเจ้าชายทัส เพื่อที่จะได้ครอบครองบัลลังก์ และ กริชวิเศษ หลังจากนั้น เจ้าชายดัสแทนก็พาเจ้าหญิงฯออกเดินทางไปยังอวรัต สถานที่ฝังศพของกษัตริย์เปอร์เซีย แต่ในระหว่างทาง เจ้าชายดัสแทนได้หลงกล ถูกเจ้าหญิงฯทำร้ายจนสลบ และ ชิงกริชวิเศษหนีไป เมื่อเจ้าชายดัสแทนตื่นขึ้นมาก็พบกับพ่อค้า อามาร์ และ นักขว้างมีด จึงตกลงร่วมมือกัน ตามจับเจ้าหญิงฯเอาไปเป็นทาสรับใช้ แล้วเดินทางต่อไปยัง สนามแข่งวิ่งนกกระจอกเทศของอามาร์

     อามาร์จับตัวเจ้าชายดัสแทนไว้ เพื่อนำไปแลกกับเงินรางวัลนำจับ เจ้าหญิงฯเห็นอามาร์ได้กริชวิเศษไป จึงปล่อยนกกระจอกเทศออกจากกรง เพื่อสร้างความโกลาหล ทั้งคู่จึงสามารถหลบหนีออกมาได้ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงอวรัต เจ้าชายดัสแทนแอบส่งจดหมายนัดพบกับ นีซามผู้เป็นอา เพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆ และ ขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเจ้าชายดัสแทนเห็นมือของนีซามมีรอยไหม้ จึงสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า นีซามนั่นเอง ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้น ทหารที่แอบซุ่มอยู่ก็ลอบทำร้ายเจ้าชายดัสแทน เจ้าชายดัสแทนจึงต้องต่อสู้ และ รีบหนีจนไปเจอกับเจ้าชายการ์ซิฟ แต่เจ้าชายดัสแทนก็สู้ชนะเจ้าชายการ์ซิฟ แล้วหลบหนีไปได้ แต่ก็พลัดกับเจ้าหญิงฯ

     นีซามยุให้กษัตริย์ทัส สั่งฆ่าเจ้าชายดัสแทน แทนการจับตัวขึ้นศาล แต่ไม่สำเร็จ จึงหันไปจ้างกลุ่มนักฆ่านอกรีต ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรับใช้กษัตริย์เปอร์เซียมาก่อน เพื่อให้ตามฆ่าเจ้าชายดัสแทน เจ้าชายดัสแทนตามหาเจ้าหญิงทามินาจนพบ เจ้าหญิงฯจึงยอมเล่าความเป็นมาของกริชวิเศษว่า นานมาแล้ว เทพเจ้าไม่พอใจในความเลวร้ายของมนุษย์ จึงสร้างพายุทรายแห่งความโกรธ เพื่อกวาดล้างมนุษย์
ให้หมดสิ้น แต่ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่ง อ้อนวอนต่อเทพเจ้า ขอให้ไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย โดยยอมแลกกับชีวิตของตน เทพเจ้าเห็นแก่ความเสียสละ ของเด็กหญิง จึงกวาดพายุทรายแห่งความโกรธลงสู่ใต้พื้นดิน กลายเป็นทรายแห่งกาลเวลา และ ได้มอบกริชวิเศษให้แก่เด็กหญิง ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งอาลมัธ เจ้าชายดัสแทนก็ได้เล่าเรื่องที่ นีซามในวัยเด็กเคยช่วยชีวิตพี่ชาย ให้รอดพ้นจากสิงโต นีซามจึงต้องการใช้กริชวิเศษ เพื่อย้อนเวลากลับไปในวันนั้น แล้วขัดขวางการช่วยชีวิต นีซามก็จะได้เป็นกษัตริย์เปอร์เซียแทนพี่ชาย

     เจ้าหญิงฯกับเจ้าชายดัสแทน ร่วมเดินทางต่อไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในภูเขาแห่งหนึ่ง เพื่อนำกริชวิเศษไปปักไว้ในศิลาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะไม่มีผู้ใดสามารถเอาไปได้อีก แต่ในระหว่างทาง ทั้งคู่ก็ถูกอามาร์กับลูกน้องจับได้อีกครั้ง เจ้าหญิงฯจึงหลอกอามาร์ว่า มีทองคำมากมายอยู่ในวิหารฯ ทั้งหมดจึงเดินทางไปด้วยกัน ในคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับอยู่ นักฆ่าก็ได้ส่งงูพิษไปฆ่าทุกคน เจ้าชายดัสแทนได้ใช้กริชวิเศษ ย้อนเวลาไปช่วยชีวิตไว้ได้หลายคน เมื่อทุกคนที่รอดชีวิตเดินทางต่อจนถึงวิหารฯ ก็พบว่า คนเฝ้าวิหารฯถูกฆ่าตายจนหมด เจ้าชายดัสแทนได้พบเจ้าชายการ์ซิฟ จึงพยายามเล่าเรื่องแผนของนีซาม กับ กริชวิเศษให้ฟัง แต่เจ้าชายการ์ซิฟไม่ยอมเชื่อ จึงต้องต่อสู้กัน ในเวลานั้น กลุ่มนักฆ่าก็ได้ตามมาถึง และ ชิงกริชวิเศษจากเจ้าหญิงฯไปได้ เจ้าชายการ์ซิฟถูกทำร้ายด้วยอาวุธลับของนักฆ่า แต่ก็ยังสามารถช่วยชีวิตเจ้าชายดัสแทนเอาไว้
ได้ก่อนตาย


     เจ้าชายดัสแทน เจ้าหญิง
ทามินา อามาร์ และ นักขว้างมีด เดินทางไปนครอาลมัธ เพื่อชิงกริชวิเศษ ในขณะที่คนของนีซาม กำลังขุดลึกลงไปใต้ดิน จนใกล้ถึงถ้ำทรายแห่งกาลเวลา นักขว้างมีดได้อาสาต่อสู้กับ นักฆ่าที่เฝ้ากริชวิเศษ จนสามารถโค่นนักฆ่าที่ใช้อาวุธลับลงได้ แล้วขว้างกริชวิเศษ ลงมาให้เจ้าชายดัสแทนก่อนตาย เจ้าชายดัสแทนแอบเข้าไปจนถึงตัวกษัตริย์ทัส แล้วอธิบายเรื่องกริชวิเศษให้ฟัง ก่อนจะใช้กริชวิเศษแทงตัวเองตาย เพื่อพิสูจน์ความจริง กษัตริย์ทัสจึงกดปุ่มปลายด้ามของกริชวิเศษ ย้อนเวลากลับไปห้ามเจ้าชายดัสแทนไว้ กษัตริย์ทัสจึงเชื่อเจ้าชายดัสแทน แต่ยังไม่ทันไร กษัตริย์ทัสก็ถูกนีซามเข้ามาฆ่าตาย และ สั่งให้นักฆ่ากำจัดเจ้าชายดัสแทนด้วย

     เมื่อนีซามเดินออกไปพร้อมกับกริชวิเศษ เจ้าหญิงฯซึ่งแอบดูเหตุการณ์อยู่ ได้รีบเข้าไปช่วยเจ้าชายดัสแทน เจ้าชายดัสแทนจึงสามารถฆ่าหัวหน้านักฆ่าได้ จากนั้น เจ้าหญิงฯก็รีบพาเจ้าชายดัสแทน ไปยังถ้ำทรายแห่งกาลเวลา เพื่อขัดขวางไม่ให้นีซามปลดปล่อยทรายย้อนเวลา ซึ่งจะทำให้เกิดพายุทรายพิโรธ กวาดล้างมนุษย์ทั้งหมด ในระหว่างการต่อสู้ นีซามผลักเจ้าหญิงฯตกเหว แม้เจ้าชายดัสแทนจะคว้ามือเจ้าหญิงฯไว้ได้ทัน แต่ก็รั้งไว้ได้ไม่นาน เพราะเจ้าหญิงฯยอมสละชีวิต จึงปล่อยมือเพื่อให้เจ้าชายดัสแทน ไปขัดขวางนีซาม

     นีซามใช้กริชวิเศษแทงเข้าไปในทรายแห่งกาลเวลา แล้วกดปุ่ม เจ้าชายดัสแทนรีบเข้าไปแย่งชิงกริชวิเศษ ในขณะที่การย้อนเวลาได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ในที่สุด เจ้าชายดัสแทนก็ดึงกริชวิเศษออกมาได้ ทำให้การย้อนเวลาหยุดลงแค่ วันที่เจ้าชายดัสแทนเพิ่งชิงกริชวิเศษมาได้ครั้งแรก เจ้าชายดัสแทนจึงรีบเปิดโปงแผนชั่วของนีซาม ให้เจ้าชายทัส เจ้าชายการ์ซิฟ และ เหล่าทหารได้รู้ นีซามจึงพยายามฆ่าเจ้าชายดัสแทน แต่กลับถูกเจ้าชายทัสฆ่าตายเสียเอง

     เจ้าชายทัสจึงเข้าไปขอโทษเจ้าหญิงฯ และ ขอให้เจ้าหญิงฯแต่งงานกับเจ้าชายดัสแทน เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ เจ้าชายดัสแทนได้มอบกริชวิเศษคืนให้แก่เจ้าหญิงฯ แม้ว่าเจ้าหญิงฯจะจำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกมีใจให้เจ้าชายดัสแทนเช่นกัน

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี แต่เล่นไม่ได้กับเครื่องเล่นบางรุ่น