วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Salt



แนวหนัง : บู๊ ตื่นเต้น ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ที่ประเทศเกาหลีเหนือเมื่อ ๒ ปีก่อน เอฟเวอรีน ซอลท์ สายลับ CIA สาว ถูกจับขังคุก และ ทรมาน แต่ก็ได้ถูกช่วยเหลือ โดยการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ หัวหน้าของเธอ เป็นผู้มารับตัวเธอไป โดยมีคนรักของเธอ ไมเคิล นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมงมุม มารอรับเธออยู่ ซึ่งเขานั่นเอง ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องร้องเรียน ไปยังกระทรวงการต่างประเทศ จนเกิดการแลกตัวนักโทษขึ้น

     ปัจจุบัน ในวันครบรอบแต่งงานของ ซอลท์กับไมเคิล มีสายลับรัสเซียชื่อ โอลอฟ มายัง สนง. CIA ซอลท์ ได้รับคำสั่งให้ เป็นผู้ทำการสอบสวน โดยมี พีบอดี้ จนท.หน่วยข่าวกรองพิเศษ มาร่วมดูอยู่ด้วย โอลอฟ เล่าให้ซอลท์ฟัง ว่า ในปี 1975 สมัยสงครามเย็น นักมวยปล้ำชายชาวรัสเซียคนหนึ่ง ได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ภายหลังได้แต่งงาน และ มีลูกด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ทางโรงพยาบาลก็แจ้งว่า ลูกสาวได้เสียชีวิตแล้ว แต่แท้จริงแล้ว ด.ญ.เชนคอฟ ได้ถูกส่งตัวไปอยู่กับ โอลอฟ ผู้ฝึกสายลับรัสเซีย เมื่อฝึกแล้ว ก็ส่งไปแฝงตัวเป็นชาวอเมริกัน เพื่อรอให้ถึงวันสังหาร ซึ่งก็คือ วันพรุ่งนี้ สายลับเชนคอฟ จะต้องลอบสังหาร ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งจะมาร่วมงานศพของ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา แล้วยังบอกอีกว่า สายลับรัสเซียผู้นั้นชื่อ ซอลท์

     เมื่อได้ฟังดังนั้น ซอลท์ จึงรู้ตัวว่า ไมเคิล กำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะสายลับที่ถูกเปิดเผยตัว ครอบครัวจะไม่ปลอดภัย ซอลท์ ยืนยันกับหัวหน้าว่า เธอไม่ใช่สายลับรัสเซีย เธอกำลังถูกใส่ร้าย แต่พีบอดี้ เชื่อผลที่ได้จากเครื่องจับเท็จว่า โอลอฟ พูดความจริง ซอลท์ รีบโทร.หาไมเคิล แต่ยังติดต่อไม่ได้ โอลอฟ ได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ ๒ คน แล้วหลบหนีไปได้ ด้วยความเป็นห่วงสามี ซอลท์ จึงต้องแอบหนี แต่ก็ถูกปิดกั้นทุกทาง เธอจึงต้องขังตัวเองไว้ในห้องๆหนึ่ง แล้วรีบหาวัสดุสำหรับทำระเบิด ในขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคน พยายามจะบุกเข้าไปจับตัวเธอ ซอลท์ จึงยิงระเบิดใส่ ทำให้เธอสามารถหนีออกไปได้ แล้วขึ้นรถแท็กซี่ไป ซอลท์ พยายามโทร.หาไมเคิล แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้

     ซอลท์ กลับถึงบ้าน ไม่พบไมเคิล เธอได้เอาแมงมุมของเขาติดตัวไปด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ก็ไม่พบเธอแล้ว ต่อมาไม่นาน หัวหน้าของซอลท์ เห็นเธอเดินอยู่ริมถนน เธอจึงวิ่งหนี เข้าไปในลานจอดรถ เมื่อเธอถูกล้อมเอาไว้ เธอจึงตัดสินใจ กระโดดลงไป บนหลังคารถบรรทุก ที่กำลังแล่นผ่านไปพอดี จากนั้นก็กระโดด ไปยังรถขนส่งน้ำมัน แล้วค่อยกระโดดไป บนรถอีกคันหนึ่ง แต่คนขับรถมองเห็นในกระจกข้างรถ จึงเบรกทันที ทำให้ซอลท์ กระเด็นตกลงมา เธอจึงชิงรถมอร์เตอร์ไซด์ ขับหนีฝ่ารถติด พ้นไปได้ในที่สุด ซอลท์ เดินทางต่อไป และ ได้เข้าพักในโรงแรม ใกล้กับโบสถ์ที่ ประธานาธิบดีรัสเซีย จะต้องมาร่วมงานศพ แล้วเธอก็ย้อมผมเป็นสีดำ


     วันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีรัสเซีย มาร่วมงานศพ ซอลท์ แอบลอบเข้าไป ในห้องใต้ดิน เธอระเบิดเพดาน ทำให้พื้นชั้นบนถล่ม ประธานาธิบดีรัสเซีย ตกลงมา และ ถูกเธอยิงล้มลงไป เมื่อ พีบอดี้ วิ่งมาถึง ซอลท์ มีโอกาสยิงเขาได้ แต่เธอกลับยอมให้จับแต่โดยดี พีบอดี้ จึงสงสัยว่า ทำไมเธอจึงไม่ยิงเขา ซอลท์ ถูกคุมตัวขึ้นรถตำรวจไป ในระหว่างทาง ซอลท์ ทำร้ายตำรวจ และ บังคับรถพุ่งจากสะพาน ลงไปชนกับรถ บนถนนด้านล่าง แล้วจึงแอบหลบหนีไปได้

     ซอลท์ ลงเรือเดินทางไปยัง ประเทศรัสเซีย ไปพบกับโอลอฟ เขาพาเธอไปยัง ที่ซ่อนของเหล่าสายลับรุ่นเดียวกับเธอ แต่เมื่อเธอได้เห็นไมเคิล ซึ่งถูกจับตัวมา เขาก็ถูกยิงตาย ต่อหน้าเธอทันที ซอลท์ ต้องข่มความรู้สึกเสียใจเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็น ทำให้ทุกคนไว้ใจเธอ หลังจากนั้น โอลอฟ ได้มอบหมายงานใหม่ ให้เธอไปพบกับสายลับ ที่แฝงตัวอยู่ในองค์การนาโต้ เพื่อรับคำสั่งต่อไป เมื่อฟังคำสั่งจบ ซอลท์ ก็ฆ่าโอลอฟ และ สายลับรัสเซียทั้งหมด จากนั้น เธอก็ไปพบสายลับนาโต้ บนเครื่องบิน ซึ่งก็คือ เพื่อนเก่าร่วมรุ่นฝึกสายลับของเธอนั่นเอง เขาได้บอกให้เธอ ฆ่าประธานาธิบดีอเมริกา แล้วเขาก็พาเธอ ซึ่งได้แปลงโฉมเป็นผู้ชายแล้ว เข้าไปในทำเนียบขาว เมื่อเข้าใกล้ ประธานาธิบดี เขาก็ระเบิดตัวเอง ทำให้หน่วยอารักขา พาประธานาธิบดีเข้าลิฟท์ ลงไปยังห้องนิรภัยใต้ดิน ซอลท์ รีบตามลงไป

     เมื่อถึงห้องใต้ดิน ประธานาธิบดี ก็ได้รับรายงานว่า รัสเซีย อาจจะกำลังเตรียมยิงขีปนาวุธ ประธานาธิบดี จึงสั่งการให้เตรียมพร้อมรบ ในขณะเดียวกัน ซอลท์ ได้ทำลายกล้องวงจรปิดทั้งหมด รวมทั้งวงจรเปิด-ปิดประตูด้วย หัวหน้าของซอลท์ ได้แย่งปืนจากเจ้าหน้าที่อารักขา แล้วฆ่าทุกคนในห้องนิรภัย และ ทำให้ประธานาธิบดีสลบไป จากนั้น เขาก็สั่งการผ่านคอมพิวเตอร์ ให้เตรียมยิงจรวดนิวเคลียร์ เมื่อ ซอลท์ เห็นดังนั้น เธอจึงชวนเขาคุย เขาบอกกับเธอว่า เขาเป็นสายลับรัสเซีย รุ่นพี่ของเธอ เธอจึงไม่เคยรู้จักเขา ก่อนที่จะได้ มาทำงานใน CIA ร่วมกัน ซอลท์ ขอให้เขาเปิดประตู ให้เธอเข้าไป แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นข่าวในโทรทัศน์ ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังไม่ตาย เพราะ ซอลท์ ยิงด้วยพิษแมงมุม ทำให้ดูเหมือนตายไปชั่วขณะเท่านั้น ซอลท์ จึงบอกกับเขาว่า โอลอฟ ได้ตายไปแล้ว เขาจึงบอกกับเธอว่า เขาเป็นคนกล่อมให้โอลอฟ ยอมเปิดโปงฐานะของเธอเอง

     ซอลท์ ยิงกระจกนิรภัยไม่แตก เธอจึงยิงผนังด้านข้างจนทะลุ แล้วต่อสวิทซ์ทำให้ประตูเปิด จากนั้น ก็เข้าไปต่อสู้กัน จนกระทั่ง ตำรวจมาถึง ซอลท์ จึงรีบดึงสายปลั๊กออก จากคอมพิวเตอร์ พีบอดี้ ได้รับรายงานว่า โอลอฟกับพรรคพวกตายแล้ว ซอลท์ ถูกจับใส่กุญแจมือ ในระหว่างที่ เธอถูกคุมตัว เดินผ่านหัวหน้าของเธอ ซึ่งเขาได้เตรียมจะฆ่าปิดปากเธอ ซอลท์ ก็ใช้โซ่กุญแจมือ รัดคอเขา แล้วกระโดดข้ามหัว ทิ้งน้ำหนักรัดคอเขาจนตาย จากนั้น เธอก็ถูกคุมตัว ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป พีบอดี้ ถามเธอว่า ทำไมจึงฆ่าหัวหน้า พร้อมกับชกหน้าเธอ เธอบอกว่า หัวหน้าสมควรถูกฆ่า แต่เธอไม่คิดจะฆ่าเขา และ ประธานาธิบดีรัสเซีย พีบอดี้ ได้รับรายงานว่า พบลายนิ้วมือของซอลท์ ในสถานที่ ที่โอลอฟตาย ซอลท์ บอกกับเขาว่า โอลอฟ พรากทุกอย่างไปจากเธอ เธอจึงตั้งใจจะฆ่าสายลับรัสเซีย ที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งยังมีอยู่อีกจำนวนมาก พีบอดี้ จึงแอบไขกุญแจมือให้ซอลท์ เธอจึงเปิดประตูฮ. กระโดดลงสู่แม่น้ำ แล้วขึ้นฝั่งหนีต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

Billy Elliot



แนวหนัง : ชีวิต

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ปี 1984 ทางตอนเหนือของ ประเทศอังกฤษ คนงานเหมืองส่วนใหญ่ พากันนัดหยุดงานประท้วง รวมทั้ง พ่อ และ พี่ชาย ของ บิลลี่ เด็กชายวัย ๑๑ ปี ซึ่งจะต้องไปโรงยิม เพื่อซ้อมชกมวย ตามที่พ่อของเขาต้องการ ทั้งๆที่เขาไม่เคยชอบเลย ในวันนี้ ทางโรงยิมต้องแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่ง ให้กับการสอนเต้นบัลเล่ย์ สำหรับเด็กผู้หญิง บิลลี่ ชอบมองดูการสอนเต้นบัลเล่ย์ ด้วยความสนใจ และ เมื่อเสร็จจากการซ้อมมวย ซึ่งเขาแพ้ตลอด เขาก็เข้าไปร่วมเรียนเต้นบัลเล่ย์ด้วย โดยต้องคอยปกปิด ไม่ให้พ่อ และ พี่ชายรู้

     บิลลี่ แอบฝึกซ้อมท่าบัลเล่ย์ต่างๆ ในห้องน้ำ และ เรียนเต้นบัลเล่ย์ทุกวัน จนเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพ่อกับพี่ของบิลลี่ กลับจากการประท้วง พ่อ ก็ได้ไปเห็นบิลลี่ ขณะกำลังเรียนเต้นบัลเล่ย์ พ่อ รู้สึกโกรธมาก จึงเรียกให้เขากลับบ้านทันที บิลลี่ ถูกพ่อต่อว่า และ ห้ามไม่ให้เต้นบัลเล่ย์อีก บิลลี่ จึงวิ่งหนีออกจากบ้าน เขาไปหาครูสอนเต้นบัลเล่ย์ที่บ้านของเธอ บิลลี่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให้ครูฟัง และ อยู่พูดคุยกับลูกสาวของครู ซึ่งเรียนเต้นบัลเล่ย์ มาด้วยกัน จนครูเรียกให้เขากลับบ้าน และ ขับรถไปส่ง ครู บอกกับบิลลี่ ว่า อยากจะส่งเขาไป สอบเข้าโรงเรียนบัลเล่ต์ ในเมืองลอนดอน

     หลังจากนั้น บิลลี่ ก็แอบไปฝึกพิเศษกับครู ตามลำพังทุกวัน จนกระทั่ง ตี ๔ ของวันหนึ่ง พี่ชายของบิลลี่ เตรียมหยิบอาวุธ เพื่อจะออกไปต่อสู้กับตำรวจ พ่อ ก็พยายามห้ามเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ทำให้พ่อ และ บิลลี่ เสียใจ ในวันนั้น บิลลี่ จึงไม่มีสมาธิ ในการฝึกซ้อมเต้นบัลเล่ย์ แถมยังพาล อารมณ์เสียใส่ครู จนถูกครูตบหน้า ทำให้บิลลี่ร้องไห้กับครู เมื่อครูช่วยปลอบใจ แล้วเขาจึงค่อยซ้อมเต้นบัลเล่ย์ต่อได้

     พี่ชายของบิลลี่ ถูกตำรวจจับกุมตัวเอาไว้ บิลลี่ จึงต้องไปกับพ่อ เพื่อรับตัวพี่ชายกลับบ้าน เมื่อ บิลลี่ ไม่ได้ไปตามนัด ครู จึงต้องมาหาบิลลี่ถึงบ้าน เมื่อพี่ชายรู้เข้า ก็ไม่พอใจที่ บิลลี่ เรียนเต้นบัลเล่ย์ จึงทะเลาะกับครู เมื่อครูกลับไปแล้ว บิลลี่ รู้สึกอึดอัดมาก ที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เต้นบัลเล่ย์ ในที่สุด เขาจึงต้องเต้นบัลเล่ย์ ไปตามถนนในซอย แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่ บิลลี่ กำลังสอนเพื่อน ให้เต้นบัลเล่ย์ อยู่ในโรงยิม ตามลำพัง พ่อ ได้ผ่านมาเห็นเข้าพอดี บิลลี่ จึงเต้นบัลเล่ย์ ให้พ่อได้ดู เมื่อพ่อ ได้เห็นความสามารถของบิลลี่ พ่อ ก็ไม่พูดอะไร แต่กลับเดินตรงไปยัง บ้านของครู เพื่อถามครู ถึงค่าใช้จ่าย ในการส่งบิลลี่ไป โรงเรียนบัลเล่ต์

     วันรุ่งขึ้น พ่อ จึงยอมกลับเข้าไปทำงานในเหมืองอีก แต่พี่ชายเห็นเข้า จึงได้ห้ามเอาไว้ พ่อ บอกว่า จำเป็นต้องทำเพื่อบิลลี่ แล้วก็ร้องไห้ พี่ชาย บอกกับพ่อว่า จะหาเงินด้วยวิธีอื่น แล้วจึงพาพ่อกลับบ้าน พี่ชาย ยอมทุบกระปุก พ่อ ยอมเอาสร้อยที่ระลึกต่างหน้าแม่ไปจำนำ แล้วพ่อ ก็พาบิลลี่ ขึ้นรถไปลอนดอน บิลลี่ จึงได้สอบเข้าโรงเรียนบัลเล่ต์ แม้ว่า เขาจะตื่นเต้น และ ไม่มั่นใจ แต่เขาก็ต้อง เต้นให้คณะกรรมการดู หลังจากนั้น ก็ต้องถูกสัมภาษณ์ ก่อนจะกลับบ้านไปพร้อมกับพ่อ

     หลายวันผ่านไป มีจดหมายจากโรงเรียนบัลเล่ต์ ส่งมาถึงบ้าน แจ้งว่า บิลลี่ สอบผ่าน พ่อ พี่ชาย และ ย่า ที่ต่างก็รอลุ้นด้วยความกังวล จึงรู้สึกดีใจมาก บิลลี่ ได้ไปลาครู เพื่อไปเรียนในลอนดอน การประท้วงก็สิ้นสุดลง พ่อ และ พี่ชาย จึงกลับเข้าไปทำงานในเหมืองอีก เวลาผ่านไปหลายปี พ่อ และ พี่ชาย ได้เดินทางไปลอนดอน เพื่อชมการแสดงบัลเล่ย์ของบิลลี่ ซึ่งได้กลายเป็น นักเต้นบัลเล่ย์มืออาชีพ ไปแล้ว

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ภาพคมชัด เสียงดี

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

The Polar Express



แนวหนัง : การ์ตูน ครอบครัว ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในคืนคริสต์มาสอีฟ ที่เต็มไปด้วยหิมะ เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเชื่อ ว่า ซานตาครอส มีอยู่จริง เขาได้ยินเสียง ดังมาจากหลังบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปดู พบว่า มีขบวนรถไฟ Polar Express มาจอดอยู่ คนตรวจตั๋ว เรียกให้เขาขึ้นรถไฟ เพื่อไปยังขั้วโลกเหนือ แต่เขาไม่ยอมไป จนกระทั่งรถไฟเริ่มแล่น เขาจึงวิ่งตาม และ กระโดดขึ้นไปได้ทัน เมื่อเข้าไปข้างใน ก็พบว่า มีเด็กๆอยู่อีกหลายคน คนตรวจตั๋ว เดินมาหาเขา พร้อมกับขอตรวจตั๋ว โดยบอกให้เขาล้วงลงไป ในกระเป๋าเสื้อคลุม เขาต้องแปลกใจ เพราะมีตั๋วอยู่ ๑ ใบจริงๆ เมื่อแล่นไปได้สักพักหนึ่ง รถไฟก็จอด เพื่อรับเด็กชายตัวเล็ก เป็นคนสุดท้าย แต่เด็กคนนั้น ก็ไม่ยอมขึ้น จนรถไฟแล่นต่อ เด็กชายตัวเล็ก จึงค่อยเปลี่ยนใจวิ่งตาม แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเห็นดังนั้น เด็กชายคนที่ขึ้นมาก่อน จึงดึงเบรกฉุกเฉิน เพื่อให้รถไฟหยุด เด็กชายตัวเล็ก จึงได้ขึ้น แล้วเดินแยกไปนั่ง ในตู้สุดท้าย เพียงลำพัง


     คนตรวจตั๋ว เดินเข้ามาต่อว่า ที่มีคนดึงเบรกฯ แต่พอรู้สาเหตุ เขาก็ไม่ว่าอะไรอีก จากนั้น จึงเรียกพนักงานออกมาเสิร์ฟ ช็อกโกแลตร้อน ให้กับเด็กๆทุกคน เด็กหญิงผิวดำคนหนึ่ง ได้แอบซ่อนช็อกโกแลตร้อน ไว้หนึ่งถ้วย เมื่อคนตรวจตั๋ว และ พนักงานเสิร์ฟ ไปแล้ว เด็กหญิงผิวดำ จึงยกถ้วยช็อกโกแลตร้อน ไปให้เด็กชายตัวเล็กชื่อ บิลลี่ เมื่อเด็กชาย เห็นว่า เด็กหญิงผิวดำ ลืมตั๋วไว้บนที่นั่ง จึงหยิบนำไปให้ แต่ก็ถูกลมพัด ปลิวออกไปนอกรถไฟ แต่สุดท้าย ก็ปลิวกลับเข้าไป ติดช่องลมในตู้รถไฟ โดยที่ยังไม่มีใครเห็น เมื่อคนตรวจตั๋ว ขอตรวจตั๋ว ของเด็กหญิงผิวดำ ก็ได้รู้ว่า เด็กชาย ทำตั๋วปลิวหายไป คนตรวจตั๋ว จึงพาเด็กหญิง ไปยังท้ายขบวน



     เด็กชาย เห็นตั๋วที่ช่องลม จึงรีบหยิบตั๋ว แล้วเดินตามไป ปีนขึ้นไป บนหลังคารถไฟ ซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ ในขณะที่ หิมะกำลังตก เขาได้พบชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างกองไฟ ชายคนนั้นบอกว่า เขาขึ้นรถไฟฟรี และ ถามเด็กชายเกี่ยวกับ ความเชื่อ ทั้งเรื่อง ซานต้า ขั้วโลกเหนือ และ ผี จากนั้น เขาก็พาเด็กชาย เดินตามหาเด็กหญิง โดยเดินไปบนหลังคารถไฟ ไปยังหัวขบวน ในขณะที่ รถไฟต้องแล่นขึ้นเขา ลงเขา ชายคนนั้นบอกให้เด็กชาย กระโดด ก่อนที่รถไฟ จะลอดอุโมงค์ แล้วชายคนนั้นก็หายตัวไป เด็กชาย ได้พบกับเด็กหญิง อยู่บนที่นั่งของคนขับรถไฟ



     คนขับรถไฟ ๒ คน กำลังเปลี่ยนหลอดไฟหน้ารถ เห็นฝูงกวางแคริบู นับแสนตัวขวางทางอยู่ จึงตะโกนบอกให้ เด็กหญิงหยุดรถ แต่เด็กหญิง เกิดรู้สึกลังเล เด็กชายจึงช่วยเบรกแทน คนตรวจตั๋ว เห็นดังนั้น จึงแก้ปัญหาด้วยการ ดึงเคราของคนขับคนหนึ่ง เพื่อให้ส่งเสียงร้อง คล้ายเสียงกวาง ทำให้ฝูงกวาง ยอมถอยห่างออกจากรางรถไฟ เมื่อรถไฟแล่นต่อไปสักครู่ สลักคันโยกก็หลุด ทำให้รถแล่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ คนตรวจตั๋ว เด็กชาย และ เด็กหญิง ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของรถไฟ จึงต้องเกาะไว้ให้แน่น รถไฟแล่นลงเขา ด้วยความเร็วสูง จนถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทำให้รถไฟลื่นไถล พื้นน้ำแข็งแตกแยกตามมา คนตรวจตั๋ว จึงบอกให้ขับรถไฟหนีโดยเร็ว จนสามารถแล่นขึ้นเขา ได้ทันพอดี เด็กชาย จึงได้คืนตั๋วให้เด็กหญิง แล้วคนตรวจตั๋ว ก็พาทั้งคู่ เดินกลับไปนั่งที่ตู้เดิม



     หลังจากนั้น เด็กหญิง ก็เดินไปหาบิลลี่ ซึ่งกำลังยืนร้องเพลง มองท้องฟ้า อยู่ท้ายขบวน โดยมีเด็กชาย เดินตามไปด้วย เด็กหญิง จึงร่วมร้องเพลง แล้วยืนชมแสงเหนือด้วยกัน ๓ คน คนตรวจตั๋ว ได้เดินมาหา เพื่อบอกว่า จวนจะถึงขั้วโลกเหนือ แล้วจึงชี้ให้ดู


     เมื่อรถไฟ ไปถึงขั้วโลกเหนือ บิลลี่ ไม่ยอมลงจากรถไฟ เด็กหญิง และ เด็กชาย จึงขึ้นไปตาม แต่เด็กชายก้าวพลาด เหยียบถูกคันโยก ทำให้ตู้สุดท้าย ถูกแยกออก และ แล่นถอยหลังลงไป เมื่อหยุดแล่นแล้ว เด็กหญิง ได้ยินเสียงกระดิ่ง ออกมาจากอุโมงค์ จึงพากันเดินตามเสียงไป มีแต่เด็กชายเพียงคนเดียว ที่ไม่ได้ยินเสียงกระดิ่ง ทั้งสามคน เห็นเอลฟ์นั่งกระสวยเดินทาง จึงนั่งกระสวยตามไปบ้าง จนถึงจุดจอดกระสวย แล้วเดินต่อไปตามทาง ที่มีลูกศรชี้



     บิลลี่ เห็นกล่องของขวัญ ที่มีชื่อของตน เลื่อนผ่านหน้าไป จึงกระโดดตามไปจับไว้ เด็กหญิง และ เด็กชาย จึงต้องกระโดดตามไปด้วย จนไหลลื่นไปตามทาง ตกลงไปบนกองของขวัญ ซึ่งอยู่ในถุงผ้าขนาดยักษ์ ทันใดนั้น ถุงของขวัญก็ถูกดึง ลอยขึ้นไปกับบอลลูน ก่อนจะถูกทิ้งลง บนรถเลื่อนของซานต้า เหล่าเอลฟ์ ก็มาพาเด็กๆลงไป อย่างปลอดภัย



     เหล่าเอลฟ์ ได้พากวางเรนเดียร์ เดินออกมา มีเสียงกระดิ่งดังกังวาล ทุกคนต่างชื่นชม แต่เด็กชายกลับไม่ได้ยิน หลังจากนั้น ซานตาคลอส ก็เดินออกมา กวางเรนเดียร์ กระโดดจนกระดิ่ง หลุดกระเด็นออกมา ๑ ลูก เด็กชาย เก็บกระดิ่งขึ้นมา เขย่าข้างหู แต่เขาก็ไม่ได้ยินเสียง เขาจึงยอมเชื่อว่า ซานต้ามีอยู่จริง แล้วจึงได้ยิน เสียงกระดิ่งอันไพเราะ ในทันใด เมื่อซานต้า เดินมาถึง เด็กชาย จึงคืนกระดิ่งให้ ซานต้า จึงเลือกเด็กชาย ให้เป็นผู้ที่ได้รับของขวัญชิ้นแรก เด็กชาย ได้กระซิบข้างหูของซานต้า ว่า อยากได้กระดิ่ง เป็นของขวัญ ซานต้า จึงมอบให้ พร้อมกับบอกเขาว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงของคริสต์มาส อยู่ในใจเธอ ก่อนที่ ซานต้า จะบอกให้กวางเรนเดียร์ ลากรถเลื่อน เหาะขึ้นท้องฟ้า แล้วหายไป




     ก่อนจะขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางกลับบ้าน คนตรวจตั๋ว ได้เจาะรูเพิ่ม ที่ตั๋วของเด็กๆ เรียงเป็นตัวอักษร เด็กหญิง ได้คำว่า LEAD (นำ) เด็กชาย ได้คำว่า BELIEVE (เชื่อ) เมื่อไปถึงที่นั่งแล้ว เพื่อนๆก็มาขอดู กระดิ่ง ที่ซานต้าให้เด็กชายมา แต่พอเด็กชาย ล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม ก็พบว่า กระดิ่งไม่อยู่แล้ว เพราะเผลอใส่กระเป๋า ข้างที่ขาดเป็นรู หลังจากนั้น รถไฟก็เริ่มแล่น เพื่อนๆจึงได้แต่บอกว่า เสียใจด้วย จนเมื่อถึงบ้านของบิลลี่ เขาก็พบว่า ซานต้าได้นำของขวัญ มาวางไว้ให้แล้ว และ เมื่อถึงบ้านของเด็กชาย คนตรวจตั๋ว ได้บอกกับเขาว่า ไม่สำคัญว่า รถไฟจะไปที่ไหน แต่สำคัญที่ การตัดสินใจขึ้นรถไฟไป




     เช้าวันรุ่งขึ้น น้องสาวของเด็กชาย ปลุกเขาให้ตื่น เพื่อไปแกะกล่องของขวัญด้วยกัน พบกล่องของขวัญขนาดเล็ก ภายในมี กระดิ่ง และ ข้อความจากซานต้า บอกว่า เสียงกระดิ่ง จะดังสำหรับ คนที่เชื่ออย่างแท้จริง เท่านั้น

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด (สวยมาก) เสียงดี