วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Tron : Legacy




แนวหนัง : บู๊ จินตนาการ ผจญภัย วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เมื่อ ๒๐ ปีก่อน พ่อของแซม ซึ่งเป็นประธานบริษัท ENCOM ได้หายตัวไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะหายตัวไป คืนนั้นพ่อได้เล่าให้แซมฟัง ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ The Grid พรหมแดนแห่งโลกดิจิตอล (คอมพิวเตอร์) ซึ่งมี ทรอน ผู้คอยต่อสู้เพื่อโปรแกรม และ User (ผู้ใช้โปรแกรม) แล้วพ่อก็ได้สร้าง คลู ซึ่งเหมือนกับพ่อขึ้นมา ให้เป็นตัวแทนของพ่อ เพื่อคอยดูแลโลกดิจิตอล ให้มีความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ

     ปัจจุบัน แซม ในวัย ๒๗ ปี มีตำแหน่งเป็นประธานบริษัท ENCOM ต่อจากพ่อของเขา แต่เขาไม่เคยสนใจมันเลย ในคืนหนึ่ง ขณะที่กำลังมีการประชุมผู้บริหารของ ENCOM ก่อนจะถึงเวลาเปิดขายหุ้น และ โปรแกรมระบบปฏิบัติการใหม่ แซม ได้แอบลักลอบเข้าไปในตึก เพื่อปล่อยโปรแกรมก่อกวน และ นำโปรแกรมระบบปฏิบัติการใหม่ ไปปล่อยไว้บนเว็บไซด์ที่ให้ Download ได้ฟรี ตามจุดประสงค์ดั้งเดิมของพ่อ แล้วจึงกระโดดร่มชูชีพ จากบนดาดฟ้าตึก หนีไป แต่ก็ถูกตำรวจตามจับได้

     หลังจากถูกตำรวจปล่อยตัวออกมา แซม ก็กลับสู่ที่พัก ซึ่งลุง (เพื่อนของพ่อ) ได้ไปรอเขาอยู่ก่อนแล้ว ลุงบอกกับแซมว่า ได้รับข้อความทางเพจเจอร์ จากที่ทำงานของพ่อแซม ซึ่งถูกปิดมานาน ๒๐ ปีแล้ว ลุงได้มอบกุญแจที่ทำงานนั้น ให้แซมเอาไว้ แซม จึงไปยังที่ทำงานของพ่อ เขาได้พบทางเข้าห้องลับโดยบังเอิญ แซม เห็นคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ จึงลองใช้งานดู แล้วเขาก็ได้สั่งยิงเลเซอร์ ทำให้เขาได้เข้าไปอยู่ในโลกดิจิตอล เหมือนอย่างที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง ก่อนที่จะหายตัวไป

     แซม ถูกจับเพราะเข้าใจผิดว่า เขาเป็นโปรแกรมเร่ร่อน ที่ไม่มีแผ่นดิสก์บันทึกข้อมูล เหมือนกับอีกหลายโปรแกรม ที่ถูกจับไปด้วยกัน เขาจึงถูกส่งตัวไปเล่นเกม และ มอบแผ่นดิสก์ ติดตัวเขาเอาไว้ แซม ต้องต่อสู้ด้วยแผ่นดิสก์ ซึ่งผู้แพ้จะต้องถูกทำลาย หลังจากสู้ชนะ แซม ถูกบังคับให้สู้กับแชมป์ จนเมื่อ แซม ได้รับบาดเจ็บ จนมีเลือดไหลออกมา จึงทำให้รู้ว่า เขาเป็น User ไม่ใช่โปรแกรม แซม จึงได้ถูกนำตัวไปพบกับ คลู ซึ่งมีรูปร่าง หน้าตา เหมือนกับพ่อของเขาในอดีต

     คลู ได้ส่งแซมให้ไปเล่นเกมวงล้อแสง (คล้ายกับการแข่งมอเตอร์ไซด์) ซึ่งคลูก็ร่วมลงแข่ง อยู่ในฝ่ายตรงข้ามด้วย ในขณะที่ แซม กำลังจะถูกทำลาย ก็มีคนขับรถเข้ามาช่วยเขาเอาไว้ แล้วพาเขาหนีออกไปนอก The Grid แซม จึงได้รู้จักกับ ควอร์ร่า หญิงสาวที่เข้ามา ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ควอร์ร่า ได้พาแซมไปพบกับพ่อของเขา ทำให้เขาได้รู้ว่า พ่อของเขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอด




     พ่อ เล่าให้แซมฟังว่า พ่อกับคลู ได้ร่วมกันสร้าง ดินแดนแห่งโลกดิจิตอล ขึ้นมาใหม่ แล้วดึงทรอนมาช่วยด้วย แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ ที่เรียกว่า ไอโซ่ ความเป็นมนุษย์ของไอโซ่ ทำให้เกิดความไม่สมบูณ์แบบขึ้น คลู จึงทำการยึดอำนาจ แล้วฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไอโซ่ จนไม่มีเหลือ ด้วยความเสียสละของทรอน พ่อจึงหนีรอดออกมาได้ แต่ก็ไม่สามารถกลับออกไป จากโลกดิจิตอลได้ เพราะประตูจะเปิดได้ จากโลกภายนอกเท่านั้น

     แม้ตอนนี้ประตูแสงที่แซมเข้ามา จะยังคงเปิดอยู่ แต่พ่อก็ไม่ยอมกลับออกไป เพราะรู้ว่า คลู ต้องการชิงแผ่นดิสก์ของพ่อ เพื่อที่เขาจะได้ นำกองทัพออกไปยังโลกภายนอก แซม ต้องการจะพาพ่อกลับออกไป เขาจึงแอบเดินทางไปหาซุส ตามคำแนะนำของควอร์ร่า เพื่อให้ช่วยพาเขาไปยังประตูแสง เมื่อพ่อรู้เข้า จึงบอกให้ควอร์ร่า นำยานบินออกเดินทาง ตามแซมไปด้วยกัน

     แซม ได้พบกับซุส โดยที่เขาไม่รู้ว่า ซุส ได้ย้ายข้างเสียแล้ว จึงเกิดการต่อสู้กันระหว่าง เหล่าโปรแกรม ที่ยังคงสนับสนุนพ่อของแซม กับพวกของซุส ควอร์ร่า ตามมาช่วยสู้ แต่ก็ต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และ หมดสติไป พ่อ ตามมาช่วยแซมกับควอร์ร่าเอาไว้ได้ แต่ก็ถูกซุส ขโมยแผ่นดิสก์ เอาไปให้คลูจนได้ พ่อ ได้ซ่อมแซมโปรแกรมส่วนที่เสียหายให้ควอร์ร่า ทำให้ร่างกายสร้างแขนขึ้นมาใหม่ และ บอกให้แซมรู้ว่า ควอร์ร่า คือไอโซ่คนสุดท้าย ที่พ่อช่วยเอาไว้ได้ ต่อจากนั้น พ่อ ก็พาแซมกับควอร์ร่า กระโดดขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางไปยังประตูแสง

     แต่ก่อนจะถึงประตู คลู และ กองทัพ ซึ่งอยู่ในยานบินขนาดใหญ่ ก็ตามมาทัน เพื่อให้แซมกับพ่อหนีไปได้ ควอร์ร่า จึงยอมเอาตัวเองเข้าล่อ จนถูกทรอนจับตัวไป แซม บอกให้พ่อแยกไปเตรียมยานสำหรับหนี ส่วนเขาก็ไปชิงแผ่นดิสก์ของพ่อกลับคืนมา พร้อมทั้งช่วยควอร์ร่ามาได้ด้วย แล้วทั้งสามคนก็ขึ้นยานบินหนีไป แต่คลูกับทหารส่วนหนึ่ง ก็ยังตามไปทัน จึงเกิดการยิงต่อสู้กัน ในระหว่างการต่อสู้ ทรอน เกิดจำขึ้นมาได้ว่า เขามีหน้าที่ต้องปกป้อง User จึงได้เข้าต่อสู้กับคลู จนทรอนตกลงไป ในทะเลดิจิตอล ทั้งสามคนจึงรีบไปที่ประตูแสง แต่ก็พบว่า คลู ได้รอพวกเขาอยู่แล้ว

     พ่อ ได้ถ่วงเวลาคลูเอาไว้ เพื่อให้ควอร์ร่าพาแซม ไปที่กลางลำแสง แล้วบอกให้แซม พาควอร์ร่าออกไปยังโลกภายนอก กับเขาด้วย และ เพื่อไม่ให้คลู สามารถขัดขวางแซมได้ พ่อ จึงได้รวมร่างกับคลู จนสลายร่างไปด้วยกัน เมื่อแซมกลับออกไปได้ เขาก็ทำสำเนาโปรแกรมทั้งหมดเอาไว้ ก่อนที่จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วจึงพาควอร์ร่า นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ ไปชมวิวยามพระอาทิตย์กำลังขึ้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ

หนังแผ่น : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Arthur and The War of the Two Worlds



แนวหนัง (ภาค ๓ ตอนจบ) : กึ่งการ์ตูน ครอบครัว ตลก ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในขณะที่ มัลธาซาร์ (จอมมาร M) สามารถขึ้นมาอยู่บนพื้นดินได้แล้ว แถมยังมีร่างกาย ที่ใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไปด้วย อาเธอร์ (ซึ่งยังอยู่ในสภาพของ มินิมอยส์ตัวจิ๋ว) เจ้าหญิงเซลีเนีย และ เบต้าเมซ ยังคงติดอยู่ในโลกใต้ดิน พวกเขาต้องคิดหาทาง ที่จะกลับขึ้นไปยัง พื้นโลกเบื้องบน เพื่อยับยั้งแผนครองโลกของมัลธาซาร์ อาเธอร์ นึกถึงขวดน้ำยาที่จะช่วยให้เขา มีร่างกายใหญ่โตขึ้นดังเดิมได้ ซึ่งน้ำยาขวดนั้นอยู่กับหนังสือ ๒ เล่ม ในบ้านตาของเขา แต่ในระหว่างเดินทาง ด้วยฟองอากาศในท่อประปา พวกเขาต้องติดอยู่ในบริเวณก๊อกน้ำ จึงได้เห็นว่า ดาร์โกส (ลูกชายของมัลธาซาร์ ซึ่งเคยถูกทิ้งให้จมน้ำ ในตอนจบของภาคแรก แต่ก็รอดมาได้) ก็อยู่ในฟองอากาศอีกฟองหนึ่ง จนกระทั่งมีคนเปิดก๊อกน้ำ ทั้งหมดก็ถูกน้ำพัดพาไป อาเธอร์ เซลีเนีย และ เบต้าเมซ ได้โผล่ขึ้นมาในห้องน้ำ

     มัลธาซาร์ ไปหาหมอ และ บังคับให้ช่วยทำศัลยกรรมให้เขา อย่างเร่งด่วน จากนั้นก็ไปที่บ้านตาของอาเธอร์ ตารู้สึกคุ้นเสียง แต่ไม่รู้ว่าเป็นมัลธาซาร์ เขาจึงได้เชิญมัลธาซาร์ เข้าไปในบ้าน มัลธาซาร์ จึงเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง และ บังคับให้ตา มอบน้ำยาขยายร่างให้ ส่วนทางด้าน อาเธอร์ เซลีเนีย และ เบต้าเมซ หลังจากต้องต่อสู้กับดาร์โกส บนขบวนรถไฟของเล่น ที่กำลังแล่นอยู่ในห้องของอาเธอร์ จนดาร์โกสชนเข้ากับขอบอุโมงค์ จนตกจากหลังคารถไฟไป ทั้งสามคนก็รีบขึ้นเครื่องบินจิ๋วตามมัลธาซาร์ไป แต่ก็ไม่ทัน มัลธาซาร์ ได้เทน้ำยาฯ ลงในแม่น้ำ ทำให้เหล่าลูกสมุน ที่รออยู่ในแม่น้ำ มีร่างกายใหญ่โตขึ้นทั้งกองทัพ


     หลังจากเครื่องบินตก เซลีเนีย ก็พาอาเธอร์ และ เบต้าเมซ ไปยังรังผึ้ง เพื่อขอยาอายุวัฒนะ ในตอนแรกราชินีผึ้งไม่ยอมให้ แต่มีผึ้งตัวหนึ่งจำได้ว่า อาเธอร์ เคยช่วยชีวิตของมันเอาไว้ (ในภาคที่ ๒) ราชินีผึ้ง จึงยอมทำยาอายุวัฒนะให้ ในขณะเดียวกันนั้น พ่อของอาร์เธอร์ ได้เรียกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมา เพื่อช่วยทำลายรังผึ้ง แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ถูกเรียกตัวกลับไปเสียก่อน เพราะกองทัพของมัลธาซาร์ ขี่แมลงยักษ์บิน บุกโจมตีผู้คนในเมือง อาเธอร์ จึงได้ดื่มยาอายุวัฒนะ จนได้กลับคืนร่างมนุษย์ดังเดิม เซลีเนีย และ เบต้าเมซ เดินทางย้อนกลับไปหาดาร์โกส

     ตาของอาเธอร์ ได้ช่วยดาร์โกสเอาไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมให้ดาร์โกส เปลี่ยนใจมาอยู่ข้างเขา จากนั้น ตาก็ใช้น้ำยาขยายร่างให้ดาร์โกส แล้วพากันขับรถเข้าเมือง ในขณะที่ อาเธอร์ ก็กำลังขับรถเข้าเมือง เพื่อจะไปต่อสู้กับ กองทัพของมัลธาซาร์ เช่นเดียวกัน เมื่อไปถึงในเมือง อาเธอร์ ได้ชิงตัวแมลงยักษ์ บินหนี หลอกล่อ และ ต่อสู้กับเหล่าสมุนของมัลธาซาร์ แต่เขาก็ถูกจับจนได้ มัลธาซาร์ จึงสั่งสมุนให้สังหารอาเธอร์ แต่ตากับดาร์โกสตามมาทันพอดี ดาร์โกส ลอบเข้าด้านหลัง และ ใช้ดาบจี้มัลธาซาร์ แล้วสั่งให้ปล่อยตัวอาเธอร์ มัลธาซาร์ ได้พูดเกลี้ยกล่อมจนดาร์โกส ยอมเชื่อว่า พ่อไม่ได้ตั้งใจทิ้งให้ลูกจมน้ำ แล้วจึงฉวยโอกาสตอนเผลอ จับตัวดาร์โกสเอาไว้ด้วย


     ทันใดนั้นเอง เซลีเนียกับเบต้าเมซ ก็ขี่ผึ้งมาถึง แล้วใช้เหล็กในที่ชุบน้ำยาลดขนาด ต่อยเข้าที่มัลธาซาร์ ทำให้มัลธาซาร์กลับตัวเล็กจิ๋วเท่าเดิม หลังจากนั้น กองทัพทหารของมนุษย์ก็เดินทางมาถึง และ ตรงเข้าปราบกองทัพของมัลธาซาร์ จนแพ้ราบคาบ อาเธอร์ จึงได้จับตัว มัลธาซาร์ เอาไปขังไว้ในบ้าน และ ช่วยพาดาร์โกสไปหลบซ่อน เพื่อไม่ให้ถูกทหารจับตัวไป ทั้งเมืองจึงได้กลับคืน สู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง

หนังแผ่น : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย UNITED ภาพคมชัด เสียงดี

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

I Am Number Four



แนวหนัง : บู๊ จินตนาการ ผจญภัย วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     จอห์น สมิธ ได้ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ ขณะที่เขากำลังว่ายน้ำทะเล อยู่กับสาวคนหนึ่ง ในตอนดึก อยู่ดีๆเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่ขาขวาขึ้นมากระทันหัน มีแสงสว่างออกมาจากแผลที่เพิ่งเกิดใหม่ กลายเป็นแผลที่ ๓ บนขาของเขา เพื่อนๆพากันตกใจ และ คิดว่า เขาไม่ใช่มนุษย์ จอห์น จึงต้องรีบหนีไป แล้วเขาก็สลบ เมื่อฟื้นขึ้นมา พ่อของเขาก็มาช่วยพาเขากลับบ้าน และ เก็บของเพื่อย้ายไปอยู่เมืองอื่น

     อันที่จริง จอห์น เป็นผู้ที่มาจากดาวดวงอื่น พร้อมกับเด็กที่มีพลังพิเศษอีก ๘ คน ซึ่งแต่ละคน จะมีนักรบ ๑ คน คอยคุ้มครอง และ พาหนีให้พ้นจากการตามล่าของพวก มอกาโดเรี่ยน ซึ่งได้ทำลายดาวของเขาไปแล้ว และ ในเวลานี้ เด็กที่มีพลังพิเศษหมายเลข ๑ ถึง ๓ ได้ถูกพวกมันฆ่าไปแล้ว จอห์น คือ หมายเลข ๔ ส่วน เฮ็นรี่ ซึ่งคนอื่นๆเข้าใจว่า เป็นพ่อของเขานั้น แท้จริงแล้ว ก็คือ นักรบที่ต้องคอยคุ้มครองเขานั่นเอง

     เมื่อได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ ในเมืองใหม่ จอห์น พบสุนัขน่ารักตัวหนึ่งที่หน้าบ้าน เขาจึงเลี้ยงมันไว้ จากนั้นเขาก็ไปสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่ ที่นั่นเขาได้รู้จักกับสาวสวยที่มีชื่อว่า ซาร่าห์ และ หนุ่มร่างเล็กที่มีชื่อว่า แซม ซึ่งแซมมักจะถูก มาร์ก และ ลูกน้อง คอยกลั่นแกล้งอยู่เสมอ จอห์น ได้ช่วยแซมเอาคืนลูกน้องของมาร์กบ้าง ทำให้มาร์กไม่ค่อยพอใจ

     ในห้องเรียนซึ่งมีการฉายสไลด์ จึงต้องปิดไฟจนมืด อยู่ดีๆก็มีแสงออกมาจากฝ่ามือทั้ง ๒ ข้างของจอห์น เขาไม่สามารถควบคุมมันได้ จึงต้องรีบวิ่งออกจากห้องเรียน ไปซ่อนอยู่ในห้องเก็บของ แล้วก็สลบไป จนกระทั่ง เฮ็นรี่ เข้ามาปลุก และ สอนให้เขาใช้สมาธิ ควบคุมพลังนั้น เฮ็นรี่ บอกว่า จอห์น เริ่มมีพลังมากขึ้นแล้ว ในวันต่อมา จอห์น ได้พบกับ ซาร่าห์ ที่หน้าร้านอุปกรณ์ถ่ายรูป เธอบอกกับเขาว่า เธอชอบถ่ายรูปคนอื่นเก็บลงเว็บไซด์ เขาจึงได้โอกาสเดินไปส่งเธอถึงบ้าน และ ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเธอด้วย

     จอห์น และ แซม ถูกพวกของมาร์กแกล้งให้ถูกระเบิดสีจนเลอะเทอะ เมื่อเข้าห้องน้ำ และ เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว แซม ก็เอาเสื้อมาให้ จอห์น ยืมเปลี่ยนด้วย ทั้งคู่จึงมีโอกาสได้คุยกันตามลำพัง แซม บอกว่า มาร์ก เป็นแฟนเก่าของ ซาร่าห์ และ จอห์น ยังได้รู้อีกว่า แซม มีความเชื่อว่า พ่อของเขาถูก UFO จับตัวไป หลังจากนั้น ในงานแฟร์ จอห์น ได้พบกับ ซาร่าห์ เธอบอกว่า เรื่องระหว่างเธอกับมาร์ก จบไปนานแล้ว เธอชวนให้เขาเข้าบ้านผีสิงด้วยกัน จอห์น ถูกคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาจะรุมทำร้าย และ จับตัวซ่าร่าห์เข้าไปในป่า ซึ่งก็เป็นฝีมือของมาร์กนั่นเอง จอห์น จัดการใช้พลังพิเศษ ซัดคนกลุ่มนั้น แล้วรีบวิ่งตามไปช่วยซาร่าห์ เขาโมโหจนเกือบจะหักแขนของมาร์ก แต่ซาร่าห์ได้ห้ามไว้ทัน


     เมื่อ จอห์น ส่งซาร่าห์กลับถึงบ้านแล้ว ก็ได้รับข้อความจาก แซม ว่า เขาแอบเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าหมดแล้ว ให้จอห์นไปหาเขาที่บ้านด้วย แซม ได้ขอร้องให้ จอห์น บอกความจริงว่า เขาไม่ใช่มนุษย์โลก แซม ก็รับปากว่า จะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร

     วันรุ่งขึ้น จอห์น ได้รับโทรศัพท์บอกว่า เฮ็นรี่ ถูกจับตัวเอาไว้ เขาจึงขอให้แซมช่วยขับรถพาเขาไป จนถึงบ้านหลังหนึ่ง จอห์น เข้าไปช่วยเฮ็นรี่ซึ่งถูกมัดอยู่ แต่พวกมอกาโดเรี่ยนก็เข้ามาพอดี จึงเกิดการปะทะกัน พวกมอกาโดเรี่ยนมีอาวุธ และ จำนวนมากกว่า เฮ็นรี่ จึงถ่วงเวลาให้ จอห์น และ แซม ขึ้นรถเพื่อจะหนีไป จากนั้นเฮ็นรี่ก็รีบตามไปขึ้นรถ แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เพราะเอาตัวเองรับดาบของมอกาโดเรี่ยนแทนจอห์น แม้ว่าในที่สุด พวกเขาจะหนีไปได้ แต่เฮ็นรี่ก็สิ้นใจ ก่อนตาย เฮ็นรี่ ได้บอกว่า พ่อของแซมเคยร่วมมือกับพวกเขามาก่อน

     ต่อมา จอห์น ถูกตำรวจออกหมายจับ นายอำเภอซึ่งเป็นพ่อของมาร์ก บอกกับ ซาร่าห์ ว่า จอห์น กับ พ่อของเขา เป็นผู้ต้องสงสัย จอห์น จึงไปหา ซาร่าห์ เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังนั่งคุยกันบนหลังคาบ้าน มีตำรวจจะมาจับจอห์น ซาร่าห์ พลัดตกจากหลังคา จอห์น จึงใช้พลังช่วยเธอเอาไว้ แล้วพาหนีไปด้วยกัน ซาร่าห์ จึงได้รู้ว่า จอห์น ไม่ใช่มนุษย์โลก ทั้งคู่แอบหนีเข้าไปซ่อนในโรงเรียน ในขณะเดียวกัน แซม ได้พบสุนัขของจอห์น จึงพาขึ้นรถไปที่โรงเรียนด้วย

     พวกมอกาโดเรี่ยน ทำร้ายพ่อของมาร์ก แล้วบังคับให้มาร์กพามาหาจอห์น เมื่อมาถึงโรงเรียน พวกมันก็ปล่อย สัตวประหลาดบินได้ขนาดใหญ่ ออกมา ๒ ตัว แซม มาเห็นเข้าพอดี หลังจากนั้น สุนัขของจอห์น ก็แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดด้วย แซม จึงตกใจ รีบหนีลงจากรถ ในระหว่างที่ จอห์นกับซาร่าห์ กำลังต่อสู้ และ หลบพวกมอกาโดเรี่ยน ก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง มาช่วยพวกเขาฆ่าพวกมอกาโดเรี่ยน เธอก็คือ หมายเลข ๖ นั่นเอง จากนั้น แซม ก็เข้ามาบอกเรื่องสัตว์ประหลาด ในขณะที่สุนัขของจอห์น ก็กำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง จนบาดเจ็บสาหัส แต่ก็สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้

     หมายเลข ๔ (แซม) และ หมายเลข ๖ (เทเรซ่า) จึงร่วมมือประสานพลังกันต่อสู้กับ พวกมอกาโดเรี่ยน และ สัตว์ประหลาดอีกตัว อย่างตื่นเต้น ดุเดือด จนทั้งโรงเรียนพังยับเยิน ในที่สุด พวกมอกาโดเรี่ยนในที่นั้น ก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น ในวันรุ่งขึ้น จอห์น เทเรซ่า และ แซม ก็ต้องออกเดินทาง เพื่อตามหาหมายเลขอื่นๆที่เหลือต่อไป

หนังแผ่น : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Mars Needs Moms



แนวหนัง : การ์ตูน ครอบครัว ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เมื่อหลายปีก่อน มนุษย์โลกเคยส่งยานอวกาศ ไปสำรวจบนพื้นผิวดาวอังคารมาแล้ว แต่ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆเลย จึงไม่มีใครรู้ว่า ชาวดาวอังคาร ล้วนแต่อาศัยอยู่ใต้ดินทั้งสิ้น ผบ.สูงสุดของชาวดาวอังคาร ได้เฝ้าคอยสังเกตุดูมนุษย์โลก เพื่อค้นหา แม่ ผู้ซึ่งสามารถเลี้ยงดูลูก ให้อยู่ในระเบียบได้ เมื่อพบแล้ว จึงสั่งให้ทำการลักพาตัวแม่คนนั้น ไปยังดาวอังคาร เพราะชาวดาวอังคารเลี้ยงลูกไม่เป็น

     บนโลกมนุษย์ ไมโล เด็กชายวัย ๙ ขวบ รู้สึกไม่พอใจแม่ของตน ที่ชอบสั่งให้เขาเอาขยะไปทิ้ง แล้วยังบังคับให้กินผักบล็อคโคลี่อีก ไมโล จึงแอบเอาบล็อคโคลี่ให้แมวกินแทน แต่แม่จับได้ จึงสั่งลงโทษไม่ให้ดูโทรทัศน์ และ ให้เข้าห้องนอนทันที ด้วยอารมณ์โกรธ ไมโล จึงพูดออกไปว่า ถ้าเขาไม่มีแม่ก็คงจะดี เมื่อได้ยินลูกพูดดังนั้น แม่ก็น้ำตาร่วงด้วยความเสียใจอย่างมาก เวลาผ่านไปสักครู่ ไมโล ก็เริ่มรู้สึกผิด ที่เขาพูดกับแม่แรงเกินไป จึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เพื่อที่จะไปขอโทษแม่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า แม่ถูกลักพาตัว ลอยออกไปนอกบ้าน เขาจึงรีบวิ่งตามแม่ไป จนถึงยานอวกาศ ที่กำลังจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ไมโล พยายามเรียกร้อง ให้ปล่อยตัวแม่ของเขาออกมา แต่กลับกลายเป็นว่า เขาต้องติดอยู่ในยานลำนั้นไปด้วย

     เมื่อยานอวกาศลงจอดบนดาวอังคาร แม่ของไมโลซึ่งยังสลบอยู่ ก็ถูกพาตัวไป ส่วนไมโลซึ่งสลบอยู่เช่นเดียวกัน ก็ถูกพาตัวไปอีกที่หนึ่ง เมื่อไมโลฟื้นขึ้น เขาก็พบว่า ตัวเองอยู่ในห้องๆหนึ่ง ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของมนุษย์ บอกให้เขากระโดดลงไปในช่องที่ ๓ เขารู้สึกลังเล แต่พอเห็นชาวดาวอังคารถือปืนเดินเข้ามา เขาก็ตัดสินใจรีบกระโดดลงไปทันที ไมโล ลื่นลงไปตกลงบนกองขยะ เขาได้พบกับชาวดาวอังคารเพศชายกลุ่มหนึ่ง ที่ดูเป็นมิตร เขาจึงพยายามอธิบายว่า เขากำลังตามหาแม่ โดยการทำท่าทางประกอบคำพูด เพื่อให้เห็นว่า แม่ต้องเลี้ยงดูเขาอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ชาวดาวอังคาร เข้าใจคำว่า แม่ ได้สักที

     แล้วจู่ๆ ไมโล ก็ถูกจับตัวขึ้นไปบนยานของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า กริ๊บเบิ้ล ไมโล จึงถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น กริ๊บเบิ้ล อธิบายให้ฟังอย่างเสียไม่ได้ว่า ทุกๆ ๒๕ ปี จะมีเด็กชาวดาวอังคาร ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน แต่ชาวดาวอังคารเลี้ยงลูกเองไม่เป็น จึงได้สร้างหุ่นยนต์สำหรับช่วยเลี้ยงลูกขึ้นมา แล้วก็จับตัวแม่ของมนุษย์โลกมา ๑ คน นำมาถ่ายโอนความทรงจำให้หุ่นยนต์ ก่อนที่จะ...

     เมื่อได้ยินดังนั้น ไมโล จึงต้องการจะรีบไปช่วยแม่ กริ๊บเบิ้ล จึงปล่อยให้ไมโลกลับขึ้นไป โดยมีแผนที่จะช่วยชีวิตไมโลอีกที เพื่อให้เป็นหนี้บุญคุณเขา ไมโล แอบปลอมตัวปะปนไปกับชาวดาวอังคาร แต่ก็ถูกจับได้ตามแผนของกริ๊บเบิ้ล แต่พอกริ๊บเบิ้ลจะช่วยไมโล เขากลับกดปุ่มผิด ทำให้ช่วยไมโลไม่ได้ หนำซ้ำเขายังถูกแกะรอย จนถูกตามไปจับตัวได้อีก ไมโล จึงต้องหาทางหนีเอาเอง ในขณะที่เขากำลังซ่อนตัวอยู่ เขาก็ได้พบกับสาวชาวดาวอังคารคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีความคิดแตกต่างจากคนอื่น เธอมีชื่อว่า คี เธอชอบความมีสีสันของมนุษย์โลกมาก คี ได้บอกกับไมโลว่า กริ๊บเบิ้ล ถูกแกะรอยผ่านการติดต่อกับเขา เขาจึงรีบไปหากริ๊บเบิ้ลที่ยาน แต่ก็ไม่พบ


     ไมโล ได้พบว่า กริ๊บเบิ้ล ก็คือ เด็กที่เคยถูกจับมาพร้อมกับแม่ เมื่อ ๒๕ ปีก่อน ไมโล จึงรีบไปช่วยกริ๊บเบิ้ล โดยได้รับความช่วยเหลือจากคี ไมโลกับกริ๊บเบิ้ลได้หนีลงใต้ดิน จนตกน้ำ และ ได้พบกับสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุเรืองแสงสวยงามมาก กริ๊บเบิ้ล ได้เล่าให้ไมโลฟังว่า ตอนที่แม่ของเขาถูกจับตัวมา เขาพยายามจะช่วยแม่ของเขา แต่ก็ไปไม่ทัน เขาจึงต้องเห็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตา เขาจึงอยากจะช่วยไมโล ให้ช่วยแม่ได้สำเร็จ เมื่อคีตามมาสมทบ กริ๊บเบิ้ล จึงได้รู้ว่า คี คือคนที่ชอบแอบระบายสีสัน เอาไว้ในที่ต่างๆนั่นเอง กริ๊บเบิ้ล จึงรู้สึกชอบคีในทันใด ส่วนคีเมื่อเห็นกริ๊บเบิ้ลหน้าแดงเพราะเขินอาย ก็รู้สึกชอบเขาเหมือนกัน คี ยังได้พบภาพแกะสลักเก่าแก่ของชาวดาวอังคาร เป็นภาพพ่อแม่ที่ช่วยกันเลี้ยงลูกอยู่ด้วยกัน คี จึงรู้ว่า ผบ.โกหกพวกเธอมาตลอด

     ไมโล แยกตัวขึ้นไปตามหาแม่ ในขณะที่ กริ๊บเบิ้ล และ คี เตรียมยานสำหรับการหนี เมื่อเตรียมยานพร้อมแล้ว กริ๊บเบิ้ล ก็ตามไปช่วยไมโล เขาทำให้ไฟฟ้าช็อตประตูทางออกจากโดม ทำให้เหล่าทหารไม่สามารถออกมาได้ แต่เขาก็สลบไป ไมโล ช่วยแม่ออกมาได้ ก่อนที่จะถูกทำลายด้วยลำแสง แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังวิ่งอยู่ ผบ.ก็เตรียมจะยิงปืนไปที่ไมโล กริ๊บเบิ้ล ฟื้นขึ้นมาพอดี จึงกระโดดตะครุบตัวผบ.เอาไว้ ทำให้ผบ.ยิงเฉียดไมโลไป ไมโล จึงเสียหลักหกล้ม ฝาครอบหมวกแตกกระจาย ในขณะที่เขากำลังขาดอากาศหายใจ แม่ของเขาก็เข้ามาหา แล้วถอดหมวกของเธอ ใส่ให้ไมโลแทน และ ยังได้หักที่เปิดหมวกทิ้งไป เพื่อไม่ให้เขาถอดหมวกเองได้

     แม่ของไมโล กำลังขาดอากาศหายใจ จนแน่นิ่งไป กริ๊บเบิ้ล จึงรีบวิ่งไปหยิบหมวก ที่เขาเคยทิ้งเอาไว้ ตอนที่แม่ของเขาตาย แล้วรีบเอามาใส่ให้แม่ของไมโลได้ทันเวลาพอดี เมื่อแม่ฟื้นขึ้นมา ทั้ง ๓ คนก็รีบวิ่งไปที่ยาน คี ลงจากยานมารับ ผบ.ก็เข้ามาขัดขวาง และ สั่งให้ทหารจับพวกเขาเอาไว้ คี จึงแสดงรูปถ่ายของภาพแกะสลักพ่อแม่ลูก ให้ทหารได้เห็น และ อธิบายว่า ผบ.หลอกพวกเธอมาตลอด เมื่อรู้ดังนั้น ทหารจึงหันไปจับตัวผบ.แทน หลังจากนั้น คีกับกริ๊บเบิ้ล ก็ขับยานไปส่งไมโลกับแม่ถึงบ้าน ส่วนคีกับกริ๊บเบิ้ล ก็กลับไปอยู่ดาวอังคารด้วยกัน เมื่อพ่อของไมโลกลับมาถึงบ้านในตอนเช้า เขาก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นไมโลกลายเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับแม่อีกเลย

หนังแผ่น : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดีมาก

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Transformers



แนวหนัง : บู๊ จินตนาการ ผจญภัย วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : พิเศษ - เปลี่ยนรูป แปลงร่าง ช่วยโลก (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     คนเราทุกคน ล้วนแล้วแต่ เคยเปลี่ยนรูป แปลงร่าง กันมา นับครั้งไม่ถ้วนแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ อยู่ที่เราจะจำได้หรือไม่ เท่านั้นเอง แต่แทบทุกคน มักจะจำกันไม่ได้ และ คงจะเถียงว่า "ไม่จริง คนธรรมดาอย่างเรา จะเปลี่ยนรูป แปลงร่าง ได้อย่างไร?" เราไม่ใช่ยอดมนุษย์ หรือหุ่นยนต์ อย่างในหนังสักหน่อย

     งั้นเราลองมาดู หนังเรื่อง Transformers กันก่อนดีกว่า น่าจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น...

     บนดวงดาวอันไกลโพ้น ที่ยังไม่เคย มีมนุษย์โลกคนใด เดินทางไปถึง มีสิ่งมีชีวิต ที่มีรูปร่างหน้าตา ลักษณะ คล้ายกับหุ่นยนต์บนโลกมนุษย์ แต่มีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า หลายเท่านัก หุ่นยนต์มีชีวิตเหล่านั้น มีชื่อว่า ออโต้บ็อทส์ เกิดขึ้นจากพลังอำนาจของ วัตถุประหลาด ทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ มีชื่อเรียกว่า ออล สปาร์ค หรือ เดอะคิ้วบ์ ซึ่งไม่มีใครทราบว่า มันมาจากไหน

     ออโต้บ็อทส์เหล่านั้น ได้แบ่งแยกกันออกเป็น ๒ ฝ่าย ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ จนดวงดาวถูกทำลาย เดอะคิ้วบ์ ได้ลอยหายออกไป ไกลแสนไกล ในห้วงอวกาศ จนได้ตกลงมาสู่โลกมนุษย์


     เหล่าออโต้บ็อทส์ ที่เหลือรอดอยู่ ได้ออกตามหา เดอะคิ้วบ์ เพื่อที่จะนำไปสร้างดวงดาวขึ้นใหม่

     เม็กกาทรอน หุ่นยนต์ผู้นำ ของฝ่ายที่ต้องการครอบครองดวงดาวต่างๆ รวมถึงโลกมนุษย์ด้วย ได้ติดตาม เดอะคิ้วบ์ มาจนถึงโลก แต่เพราะความโลภ นำมาซึ่งความประมาท เม็กกาทรอน จึงพลาดตกกระแทก ลงไปในน้ำแข็งขั้วโลกจนหมดสติ จึงต้องถูกแช่แข็ง โดยอัตโนมัติ ก่อนจะถึง เดอะคิ้วบ์

     เวลาผ่านไป…นานแสนนาน ผู้การวิทวิคกี้ ก็ได้พบร่างของ เม็กกาทรอน โดยบังเอิญ อีกทั้งยังได้ สัมผัสถูกระบบนำร่องของ เม็กกาทรอน ทำให้แผนที่จุดตกของ เดอะคิ้วบ์ ถูกสลักลง บนแว่นตาของผู้การฯ โดยไม่รู้ตัว เมื่อรัฐบาลอเมริกาในสมัยนั้นรู้เรื่องเข้า ก็ได้ตั้งหน่วยงานลับชื่อ เซ็กเตอร์ ๗ และ สร้างเขื่อนครอบ เดอะคิ้วบ์ เพื่อซ่อนไว้เป็นความลับสุดยอด

     ส่วนแว่นตาของผู้การฯ ก็ได้ตกทอดกันมาหลายรุ่น จนมาถึงทายาทคนล่าสุด แซม วิทวิคกี้ ในปัจจุบัน แต่เพราะ แซม ไม่เคยรู้ถึงคุณค่าของมันเลย เขาจึงได้ลงประกาศขายมันไว้ บนอินเตอร์เน็ต พร้อมกับสิ่งของอีกหลายอย่าง เพื่อหาเงินซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิต แต่ก็ไม่มีใครเสนอซื้อแว่นตานั้นเลย

     จนกระทั่ง...ถึงวันที่ พ่อของแซม เคยสัญญาไว้ว่า ถ้าแซมสอบผ่าน จะออกเงินซื้อรถให้ครึ่งหนึ่ง แซม จึงได้รถยนต์เก่าๆโทรมๆคันนึงมา โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว มันคือร่างแปลงของ บัมเบิ้ลบี หนึ่งใน ออโต้บ็อทส์ ฝ่ายที่รักสันติ ซึ่งมีผู้นำชื่อ อ็อพติมัส ไพร์ม และ ยังต้องการช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากแผนการ ทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อยึดครองโลกของฝ่าย เม็กกาทรอน อีกด้วย

     หลังจาก แซม ได้รถคันแรกมาแล้ว ไม่นาน เขาก็พบความจริงว่า แท้จริงแล้ว รถของเขา ก็คือ หุ่นยนต์มีชีวิตจากต่างดาว แปลงร่างมา ด้วยความไม่รู้ เขาจึงกลัว ด้วยความกลัว เขาจึงหนีหัวซุกหัวซุน ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งหนี…ก็ยิ่งกลายเป็นว่า เขาถูกตามล่า โดยหุ่นยนต์มีชีวิต จากอีกฝ่ายหนึ่ง ที่แปลงร่างเป็นรถตำรวจอีกด้วย ทั้งหมดก็เพียงแค่ต้องการ แว่นตาของผู้การฯ เพื่อใช้ค้นหา เดอะคิ้วบ์ เท่านั้น

     นั่น…ยิ่งทำให้ แซม ต้องหนีอย่างไร้สติ แทบไม่ต่างจาก หนู ที่กำลังหนีการตามล่าของ แมว

     จนกระทั่ง บัมเบิ้ลบี ได้ช่วยแซมให้รอดชีวิตจากฝ่ายตรงข้ามได้ และ ยังพาไปพบกับ อ็อพติมัส ไพร์ม กับเหล่าสหาย ออโต้บ็อทส์ เขาจึงได้สติ พร้อมฟังคำอธิบาย ถึงเหตุผล ของเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น และ ที่อาจจะเกิดต่อไป หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ทำให้เขาได้รู้ถึงความสำคัญของแว่นตา ที่เขาครอบครองอยู่ อีกทั้งยังตระหนักว่า ชะตากรรมของมนุษย์โลก อยู่ในมือของเขาแล้ว

     แซม จึงรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่อที่จะนำแว่นตามามอบให้ อ็อพติมัส ไพร์ม



    แต่...การมาถึงของเหล่า ออโต้บ็อทส์ ก็ได้ทำให้หน่วยงานลับ เซ็กเตอร์ ๗ เริ่มเคลื่อนไหวด้วย จึงได้เกิดการปะทะกัน ระหว่างฝ่าย อ็อพติมัส ไพร์ม กับฝ่าย เซ็กเตอร์ ๗ แต่เนื่องจาก อ็อพติมัส ไพร์ม ไม่ต้องการทำร้ายมนุษย์ จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ผิดกับมนุษย์ส่วนใหญ่ ที่ยอมทำแทบทุกอย่าง แม้แต่ทำลายชีวิตผู้อื่น เพียงเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ

     แม้ว่า…ออโต้บ็อทส์ สามารถแปลงร่าง เป็นเครื่องจักรกลชนิดอื่น เช่น รถยนต์ เครื่องบิน วิทยุ ฯลฯ ที่มีขนาดใกล้เคียงกันได้ หลากหลายรูปแบบ

     แต่...มนุษย์เรานั้น สามารถเปลี่ยนรูป แปลงร่าง ได้มากมาย หลากหลายรูปแบบ เสียยิ่งกว่า เปลี่ยนแปลงไปตาม สภาวะจิต ในแต่ละขณะ และ ในเวลานี้ มนุษย์ ที่กำลังถือตนว่า สังกัดหน่วยงานลับสุดยอด เซ็กเตอร์ ๗ มีอำนาจสั่งการ อีกทั้งมีอาวุธมากมาย ก็กำลังทำตัวเป็น เสือ ขณะกำลังตะครุบเหยื่อที่ไม่ทางสู้ (เพราะไม่ยอมต่อสู้)

     ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ แซม กับ เพื่อนสาว รวมถึง บัมเบิ้ลบี ถูกจับตัวไป โดยไม่มีใครรู้ว่า นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมี ออโต้บ็อทส์ ขนาดจิ๋ว ของฝ่าย เม็กกาทรอน แอบซ่อนตัวไปด้วย ในขณะเดียวกัน อ็อพติมัส ไพร์ม ก็ได้ใช้ประโยชน์จากแผนที่ บนแว่นตา เพื่อค้นหา  เดอะคิ้วบ์ และ ตามไปช่วยทั้ง ๓ ชีวิตด้วย

     เมื่อไปถึงยัง เซ็กเตอร์ ๗ ซึ่งเป็นสถานที่ซ่อนของ เดอะคิ้วบ์ กับ ร่างแช่แข็งของ เม็กกาทรอน ออโต้บ็อทส์จิ๋ว ก็ทำการปลดปล่อย เม็กกาทรอน ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ก่อให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ เพื่อแย่งชิง เดอะคิ้วบ์ ระหว่างฝ่าย เม็กกาทรอน ที่ต้องการทำลายมนุษย์ กับ ฝ่าย อ็อพติมัส ไพร์ม ที่ต้องการช่วยชีวิตมนุษย์ โดยมี แซม เพื่อนสาว และ เหล่าทหารกล้ากลุ่มหนึ่ง ผนึกกำลัง สามัคคี ร่วมมือกันต่อสู้

   ในระหว่างการต่อสู้ ที่ดูเหมือนฝ่าย เม็กกาทรอน จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทั้งขนาด อาวุธ และ การแปลงร่าง ที่เหนือกว่า แต่ด้วย ความกล้าหาญ สามัคคี และ การต่อสู้อย่างมีสติเป็นที่ตั้ง ของมนุษย์ ได้เปลี่ยน หนู ให้กลายเป็น ราชสีห์ ร่วมกับ ความเสียสละ ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ของฝ่าย อ็อพติมัส ไพร์ม เปรียบเหมือน เทวดา มาโปรดมวลมนุษย์ ทำให้ฝ่าย เม็กกาทรอน ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ



    ในที่สุด...ทุกชีวิตบนโลก ก็ปลอดภัยจาก การรุกรานจากภายนอก อีกครั้งหนึ่ง

     แล้ว...การรุกรานจากภายใน ล่ะ

    มนุษย์เรา ถูกรุกรานโดยกิเลสภายในใจ อยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้เกิด การเปลี่ยนรูป แปลงร่าง นับครั้งไม่ถ้วน

   การเปลี่ยนรูป แปลงร่าง อย่างหนึ่ง ที่ไม่ต้องคิดไปไกล ถึงชาติก่อนๆ ก็สามารถมองเห็นได้ ด้วยตา และ ใจ นั่นก็คือ การเปลี่ยนสีหน้า ท่าทาง ตามอารมณ์ และ ความคิด ของเรานั่นเอง

     เวลาที่เรา...โมโห หรือ โกรธ ใครอยู่ สีหน้า ท่าทาง ของเรา ก็เหมือนกับ ยักษ์ หน้าบึ้งตึง

     เวลาที่เรา...ขี้เกียจ เอาแต่นอน ก็เหมือนกับ งู ที่นอนขดอยู่เฉยๆ

     เวลาที่เรา…ยิ้มแย้ม แจ่มใส ก็เหมือนกับ ดอกไม้ แรกแย้ม ช่วยให้โลกสดใส

    เวลาที่เรา...เมตตา กรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ให้พ้นทุกข์ ก็เหมือนกับ เทวดา นางฟ้า มาโปรด

     ฯลฯ

     เราสามารถเลือกได้ ที่จะ แปลงร่าง เป็นแบบไหน อยู่ที่ใจของเรา เพียงคอยตามรู้ ดูจิตใจของเราอยู่เสมอ แล้วจะพบว่า ไม่มีอารมณ์ไหน ที่จะอยู่คงทนถาวร ได้แต่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่เข้ามากระทบ ไม่มีอะไรน่ายึดถือไว้ ให้เป็นทุกข์ เดือดร้อนใจเปล่าๆ

    หรือ จะเลือกเป็น เทวดา นางฟ้า ก็ให้หมั่นอบรมจิตใจ ให้มีความเมตตา กรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น ให้พ้นทุกข์ อยู่เป็นประจำ มีความสุขอย่างปุถุชน ก็ย่อมดีกว่า ที่จะเลือกเป็น สัตว์ต่างๆ ให้ต้องทนทุกข์ อยู่เสมอ

     เลือก...เสียตั้งแต่ตอนนี้เถิด จะเปลี่ยนรูป แปลงร่าง เพื่อช่วยโลก หรือ ทำลายโลก

     ชะตากรรมของโลก อยู่ในมือคุณแล้ว

หนังแผ่น : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพชัด เสียงดี

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Army of Darkness



แนวหนัง : บู๊ สยองขวัญ ตลก ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     แอช เคยมีแฟนชื่อลินดา ซึ่งถูกปีศาจฆ่าตายไปแล้ว และ มันยังทำให้เขาต้องตัดมือขวาทิ้งอีกด้วย แอช จึงต้องเอาเลื่อยไฟฟ้ามาดัดแปลง สวมแทนมือขวาของเขา เพื่อต่อสู้กับปีศาจ เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เขาถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์การเวลา จนตกลงมาในยุคโบราณ แอช ถูกจับเป็นเชลยด้วยความเข้าใจผิดว่า เป็นฝ่ายศัตรูของลอร์ดอาเธอร์ และ ถูกผลักตกลงไปในบ่อขนาดใหญ่ ที่ไม่เคยมีใครรอดชีวิตกลับขึ้นมาได้

     แอช ต้องต่อสู้กับปีศาจที่โหดเหี้ยม ๒ ตัว ผู้รู้ ซึ่งเชื่อว่า แอช คือ บุรุษในคำทำนาย ที่จะมาช่วยบ้านเมืองให้พ้นภัย ได้โยนเลื่อยไฟฟ้าคืนให้แอช ทำให้เขาสามารถปราบปีศาจ และ กลับขึ้นสู่ปากบ่อได้ ผู้คนทั้งหลายจึงต่างพากันหวาดกลัวเขา แอช ได้สั่งให้ปล่อยเชลยที่ถูกจับตัวมาพร้อมกับเขา และ ใช้ปืนลูกซองยิงขู่ จนทำให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างดี แอช ยังได้ฆ่าปีศาจ ที่มาขู่เขาว่า เขาไม่มีทางได้กลับไปสู่ยุคของเขาเด็ดขาด ผู้รู้ บอกเขาว่า เขาจะต้องเดินทางไปนำหนังสือ ที่ทำขึ้นจากหนังมนุษย์ และ เขียนด้วยเลือดมนุษย์ ออกมาจากป่า จึงจะสามารถช่วยให้เขากลับสู่ยุคเดิมได้

     หลังจาก ผู้รู้ ได้บอกให้ แอช ท่องคาถาที่จะต้องใช้ตอนที่หยิบหนังสือ ซ้ำๆหลายครั้ง จนทำให้เขารู้สึกรำคาญ เขาก็รีบขี่ม้าเดินทางเข้าไปในป่า แอช ต้องหนีปีศาจที่ตามไล่ล่าเขา เข้าไปในอาคารกังหันลม เขาวิ่งชนกระจกบานใหญ่แตก เพราะเห็นคนที่หน้าตาเหมือนเขายืนอยู่ ทำให้มีปีศาจเงาตัวจิ๋วหลายตัวที่เหมือนเขา ออกมาจากเศษกระจก รุมสู้กับแอช จนทำให้เขาล้มสลบไป หลังจากนั้น ปีศาจเงาตัวหนึ่ง ก็กระโดดเข้าปากของเขา ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา เขาพยายามกำจัดมัน โดยการดื่มน้ำร้อนเข้าไป แต่กลับทำให้มันแยกร่างออกมา ในขนาดที่เท่ากันกับเขา แต่ในที่สุด แอช ก็เป็นฝ่ายชนะ เขาจึงเลื่อยร่างของปีศาจเงา ออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปฝังดินรวมกัน

     แอช เดินทางต่อไปจนถึงแท่นวางหนังสือ ซึ่งมีหนังสือที่เหมือนกันวางอยู่ ๓ เล่ม เมื่อเขาหยิบเล่มแรก เขาก็ถูกดูดเข้าไปในหลุม แต่เขาก็สามารถกลับออกมาได้ พอเขาหยิบเล่มที่ ๒ ก็ถูกฟันแหลมๆกัดมือ จึงเหลือเพียงเล่มที่ ๓ เพียงเล่มเดียว แอช พยายามจะท่องคาถาก่อนหยิบหนังสือ แต่เขาจำคาถาได้ไม่หมด พอเขาหยิบมันขึ้นมา ก็เกิดแผ่นดินไหว ฟ้าผ่า และ มีผีโครงกระดูกโผล่ขึ้นมาจากหลุมฝังศพ เป็นจำนวนมากมาย แอช รีบนำหนังสือกลับไปให้ผู้รู้

     เมื่อรู้ว่า แอช ไม่ได้ท่องคาถาให้ครบ ทำให้กองทัพปีศาจตื่นขึ้นมา ทุกคนต่างก็ผิดหวังในตัวเขา แต่เขาก็ยังยืนยันว่า เขาได้ทำตามสัญญาแล้ว ผู้รู้ จะต้องช่วยส่งเขากลับไป แต่ยังไม่ทันไร ก็มีปีศาจตัวหนึ่งบินมาจับตัว เชียร่า หญิงสาวชาวบ้านที่เขาหลงรักไป แอช จึงเปลี่ยนใจ อาสาเป็นผู้นำการรบในครั้งนี้ แล้วทำการฝึกสอนให้ชาวบ้านต่อสู้ พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากกองทัพ ฝ่ายที่เคยถูกจับเป็นเชลยพร้อมกับเขา ให้มาร่วมรบกับกองทัพปีศาจด้วย นอกจากนั้น แอช ยังได้ดัดแปลงรถของเขาให้พร้อมรบ และ ผลิตอาวุธระเบิดอีกด้วย

     กองทัพปีศาจโครงกระดูก ซึ่งนำโดยปีศาจเงาของแอช ได้เดินทัพมาถึงหน้าปราสาท แอช สั่งยิงธนูหัวระเบิด ต่อด้วยเครื่องดีดระเบิด ทำลายปีศาจโครงกระดูกไปได้ไม่น้อย แต่พวกมันก็ยังพังประตูเมืองเข้ามาได้ แอช จึงขับรถออกมาสู้ แต่ก็เห็น เชียร่า ยืนขวางทางอยู่ เขาจึงหักหลบจนรถคว่ำไป เชียร่า กลายเป็นพวกของปีศาจไปแล้ว แอช ต้องสู้กับปีศาจเงา ที่เคยแยกร่างออกมาจากตัวเขา เพื่อปกป้องหนังสือเอาไว้ จนในที่สุด เขาก็สามารถทำลายปีศาจเงาได้ ในขณะเดียวกัน กองทัพของอีกฝ่ายก็มาช่วย ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายชนะ และ ดีกันในที่สุด

     ผู้รู้ ปรุงน้ำยาตามหนังสือให้แอช แล้วบอกให้เขา ดื่มน้ำยา ๖ หยด ก็จะทำให้เขาหลับไป จนตื่นขึ้นมาในยุคเดิมของเขาพอดี แอช ขับรถเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วระเบิดปิดปากถ้ำไว้ จากนั้น ก็เริ่มดื่มน้ำยา แต่เขานับผิด จึงดื่มน้ำยาเข้าไป ๗ หยด เมื่อถึงเวลาที่เขาตื่นขึ้น เขาก็พบว่า เขาตื่นขึ้นมาในยุคอนาคตเสียแล้ว

หมายเหตุ - ฉากจบในต้นฉบับเดิม แอช ได้กลับไปสู่ยุคปัจจุบัน และ ต้องต่อสู้กับปีศาจต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ภาพชัด เสียงดี

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Monsters vs. Aliens



แนวหนัง : การ์ตูน ครอบครัว ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ซูซาน ว่าที่เจ้าสาว ซึ่งกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน ถูกอุกาบาตจากต่างดาวตกลงมาใส่ บนสนามหญ้าข้างโบสถ์พอดี แต่เธอก็รอดมาได้ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เธอจึงรีบเข้าโบสถ์ ในขณะที่ พิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้น จู่ๆร่างกายของซูซาน ก็เรืองแสง และ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุหลังคาโบสถ์ แดเร็ค ซึ่งเป็นเจ้าบ่าว ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นเอง ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนหนึ่ง มายิงยาสลบใส่ซูซาน แล้วจับตัวเธอไป

     ซูซาน ตื่นขึ้นมาในห้องลิฟท์ เมื่อประตูเปิดออก ก็พบห้องขนาดใหญ่มาก ไม่นานนัก เธอก็ได้พบกับ ดร.แมลงสาป มนุษย์แมลงสาป นักวิทยาศาสตร์ผู้ฉลาดปราดเปรื่อง บ๊อบ เยลลี่พูดได้ ที่ย่อยสลายได้ทุกอย่าง พรายน้ำ จอมพลัง และ หนอนผีเสื้อยักษ์ ซูซาน จึงตกใจมาก และ เริ่มส่งเสียงโวยวาย อยากจะออกไป ทั้นใดนั้น นายพลมองเกอร์ ก็เข้ามาคุยกับซูซาน พร้อมกับพาชมสถานที่ แล้วเล่าประวัติของสถานที่ ว่า ได้มีการจับตัวสัตว์ประหลาดต่างๆบนโลก มาอยู่รวมกันที่นี่ เป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว นอกจากนั้น นายพลมองเกอร์ ยังได้บอกชื่อใหม่ให้กับซูซาน ว่า ไจนอร์มิก้า อีกด้วย

     กาแล็กซ่า ได้ส่งหุ่นยนต์ยักษ์ จากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น มาตามหาแร่ ควอนโตเนี่ยม บนโลก ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ได้พยายามติดต่อกับหุ่นยนต์ยักษ์ แต่ล้มเหลว หุ่นยนต์ยักษ์ เริ่มออกอาละวาด ต่อสู้กับกองทัพอเมริกา แต่กองทัพไม่สามารถ ทำอันตรายหุ่นยนต์ยักษ์ได้เลย ประธานาธิบดี จึงเรียกประชุม นายพลมองเกอร์ ได้เสนอให้ใช้ เหล่าสัตว์ประหลาด ออกไปต่อสู้กับหุ่นยนต์ยักษ์ ประธานาธิบดี จึงอนุมัติทันที

     ในระหว่างการอพยพผู้คน ออกนอกเมือง นายพลมองเกอร์ ก็ได้นำซูซาน และ เพื่อนๆสัตว์ประหลาดทั้งหลาย ไปส่งลงตรงหน้าหุ่นยนต์ยักษ์ เมื่อได้เห็นขนาดของหุ่นยนต์ยักษ์ ซึ่งใหญ่โตกว่าซูซานมากมายนัก ทำให้เธอรู้สึกกลัว ดร.แมลงสาป จึงบอกให้ ซูซาน วิ่งหนีเข้าเมืองไปก่อน เขาจะคิดหาวิธีจัดการกับหุ่นยนต์ยักษ์เอง แต่หุ่นยนต์ยักษ์ก็สแกนดูจนรู้ว่า ในร่างกายของซูซาน มีแร่ควอนโตเนี่ยมอยู่ด้วย มันจึงออกตามล่าเธอเข้าไปในเมือง ซูซาน จึงต้องสวมเท้าเข้าไปในรถเก๋ง ๒ คัน เพื่อใช้แทนรองเท้าสเก็ต วิ่งหนีไปจนถึงกลางสะพานข้ามทะเล (โกลเด้นเกท) หุ่นยนต์ยักษ์ ก็ตามมาทันพอดี จึงได้ต่อสู้กัน โดยมีเพื่อนๆสัตว์ประหลาด มาช่วยได้บ้าง

     ในที่สุด ซูซาน ซึ่งมีความแข็งแรงมาก ก็สามารถล้มหุ่นยนต์ยักษ์ลงได้ เธอรู้สึกภูมิใจ ที่สามารถช่วยชีวิตคนเอาไว้ได้มากมาย และ ดีใจที่จะได้กลับไปยัง เมืองโมเดสโต้ ที่เธอเคยอยู่ พร้อมกับเพื่อนๆสัตว์ประหลาด เมื่อได้พบกับพ่อแม่ ซูซาน ก็ได้ถามถึง แดเร็ค คนรักของเธอ จากนั้น ซูซาน ก็ไปหาเขา ที่สถานีโทรทัศน์ ที่เขาทำงานอยู่ แดเร็ค ได้บอกเลิกกับซูซาน ทำให้เธอเสียใจมาก ซูซาน เดินร้องไห้ กลับไปหาเพื่อนๆ ในขณะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ ซูซาน ก็ถูกลำแสงจากยานอวกาศ ดึงตัวขึ้นไป หนอนผีเสื้อยักษ์ ช่วยดึงเอาไว้ แต่ก็ถูกยิงจนล้มลง

     ซูซาน ฟื้นขึ้นมาในยานอวกาศ เธอถูกขังอยู่ในกรงลำแสง กาแล็กซ่า นำตัวเธอ ไปสกัดเอาแร่ควอนโตเนี่ยม ออกมา ทำให้ร่างกายของซูซาน มีขนาดหดเล็กลงเท่าเดิม ต่อจากนั้น กาแล็กซ่า ก็ทำการโคลนนิ่งตัวเอง ออกมาเป็นจำนวนมหาศาล และ ประกาศจะฆ่ามนุษย์หมดทั้งโลก นายพลมองเกอร์ ได้พาเหล่าสัตว์ประหลาด มาส่งจนได้แอบเข้ายานอวกาศ ซูซาน กำลังถูกพาไปทิ้งที่เตาเผา เหล่าสัตว์ประหลาด ก็ได้ปลอมตัวเป็นร่างโคลนของกาแล็กซ่า จนสามารถช่วยซูซานไว้ได้ แล้วต่อสู้กับร่างโคลนมากมาย จนไปถึงส่วนที่เป็นสมองของยานฯ

     ดร.แมลงสาป ได้ใช้ความสามารถในการเต้นอย่างรวดเร็ว จนถอดรหัสผ่านได้ แล้วสั่งให้ยานฯทำลายตัวเอง ภายใน ๕ นาที จากนั้น จึงรีบพากันหนี แต่ประตูถูกปิดลง ทำให้ซูซาน ออกไปได้เพียงคนเดียว ซูซาน จึงไปยังห้องของกาแล็กซ่า จนเกิดการต่อสู้ ซูซาน แย่งปืนมาได้ แล้วยิงใส่แหล่งรวม แร่ควอนโตเนี่ยม จนตกลงมาใส่เธออีกครั้งหนึ่ง ทำให้ร่างกายของเธอ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็น ไจนอร์มิก้า อีกครั้ง ต่อจากนั้น ซูซาน ก็รีบไปช่วยเพื่อนๆ จนพลัดตกจากยานฯไปด้วยกัน ทันใดนั้นเอง นายพลมองเกอร์ ก็ขี่ผีเสื้อยักษ์ ที่กลายร่างมาจาก หนอนผีเสื้อยักษ์ มารับตัวทุกคนไว้ได้ทันพอดี ก่อนที่ยานฯจะระเบิด ไปพร้อมกับกาแล็กซ่า

     ซูซาน และ เพื่อนๆ ได้กลับไปยัง เมืองโมเดสโต้ อีกครั้ง แดเร็ค รีบมาบอกคืนดี โดยแลกกับการที่ ซูซาน ต้องให้เขาสัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ แต่เธอปฎิเสธไป ไม่ยอมคืนดีด้วย หลังจากนั้น นายพลมองเกอร์ ก็มาตามซูซาน และ เพื่อนๆ ให้ไปช่วยปราบสัตว์ประหลาดที่เมืองปารีสต่อ ทั้งหมดจึงเดินทางไปด้วยกัน

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Ultraviolet



แนวหนัง : บู๊ ตื่นเต้น วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในโลกอนาคต มีไวรัสชนิดหนึ่ง แพร่กระจาย และ กลายพันธุ์ ทำให้คนส่วนหนึ่งกลายเป็น ฮีโมเฟจ มีเขี้ยว และ ความแข็งแกร่งเกินมนุษย์ คล้ายๆกับแวมไพร์ ไวโอเล็ต หญิงสาวผู้ติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ ถูกบังคับให้ทำแท้งเมื่อหลายปีก่อน ในวันนี้เธอได้ปลอมตัวเป็นคนรับส่งของ เพื่อไปรับของชิ้นสำคัญ ที่ตึกแห่งหนึ่งของรัฐบาล ไวโอเล็ต ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่า เธอไม่ใช่พวกฮีโมเฟจ ไวโอเล็ต สามารถผ่านการตรวจไปได้ทุกขั้นตอน จนกระทั่งคนรับส่งของตัวจริงมาถึง



     ไวโอเล็ต จึงชิงกล่องใส่ของ แล้วลุยฝ่าหาทางออกไป เธอต้องต่อสู้กับทหารจำนวนมากมาย โดยใช้อุปกรณ์ต้านแรงโน้มถ่วง จนสามารถหนีออกจากตึกไปได้ แต่การตามล่าก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ไวโอเล็ต ต้องนำของไปส่งที่ นีดเดิ้ลทาวเวอร์ ด้วยความสงสัย ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์เพียงลำพัง ไวโอเล็ต จึงแอบเปิดกล่องออกดู เธอต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่ได้พบว่า ในกล่องนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ไวโอเล็ต จึงทำการสับเปลี่ยน เอาเครื่องฉายภาพใส่ลงไปแทน ก่อนที่จะนำไปส่งให้ เนอร์ว่า หัวหน้าแก๊งค์ผู้ว่าจ้าง แล้วค่อยพาเด็กหนี


     ไวโอเล็ต ต้องต่อสู้กับแก๊งค์อื่นในตึก จนตายเรียบยกแก๊งค์ จากนั้นก็พาเด็กหนีขึ้นรถ เด๊กซัส ผู้นำรัฐบาล พาทหารมาตามจับ และ ได้บอกกับเธอว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา แต่เธอก็ขับรถหนีออกไป แล้วต่อรถไฟใต้ดิน ไวโอเล็ต ถามชื่อเด็ก เขาจึงชูนิ้ว ๖ นิ้ว เป็นการบอกว่าเขาชื่อ ซิกซ์ ไวโอเล็ต ได้บอกกับซิกซ์ ว่า เลือดของเขามีอะไรบางอย่าง ที่สามารถช่วยพวกฮีโมเฟจได้



     เด๊กซัส นำทหารบุกเข้าสังหารพวกฮีโมเฟจ แก๊งค์ของเนอร์ว่า จนเกือบหมด แต่ได้ละเว้นชีวิตของเนอร์ว่าเอาไว้ เพื่อให้ช่วยจับตัวไวโอเล็ตกับซิกซ์ไปให้เขา หลังจากที่ ไวโอเล็ต พาซิกซ์หนีไปได้ ทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกัน ซิกซ์ ได้รู้ว่า ไวโอเล็ต ป่วย และ กำลังจะตาย เพื่อนสนิทของไวโอเล็ตบอกว่า เลือดของซิกซ์ ไม่มีแอนติเจ้นท์แวมไพร์ จึงไม่สามารถช่วยฮีโมเฟจได้ ไวโอเล็ต จึงพาซิกซ์หนีต่อไป แล้วจึงค่อยแยกกัน แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจ หันหลังกลับไปตามหาซิกซ์



     ซิกซ์ ถูกพวกของเนอร์ว่าจับตัวไป ไวโอเล็ต จึงต้องตามไปช่วย ซิกซ์ ถูกจับแขวนไว้เหนือบ่อน้ำ ที่ไม่มีน้ำ เนอร์ว่า ได้บอกกับเธอว่า เลือดของซิกซ์ มีแอนติเจ้นท์มนุษย์ สามารถใช่ฆ่ามนุษย์ได้ ซิกซ์ ได้แอบถอดรองเท้าข้างหนึ่ง ทิ้งลงไปในบ่อ เพื่อให้ ไวโอเล็ต จับเวลาก่อนที่รองเท้าจะตกถึงก้นบ่อ จากนั้น ไวโอเล็ต จึงลงมือสังหารเนอร์ว่า และ ลูกสมุนทั้งหมด ก่อนจะคว้าเชือกที่ผูกกับตัวซิกซ์ เอาไว้ได้ทันเวลา แต่พิษในเลือดของซิกซ์ ก็ทำให้ซิกซ์ใกล้ตายเช่นกัน



     ไวโอเล็ต จึงต้องพาซิกซ์ไปหาเด๊กซัส เพื่อขอยาถอนพิษ เด๊กซัส ได้บอกกับเธอว่า ซิกซ์ คือ โคลนลำดับที่หกของเขา และ ยังบอกอีกว่า เขามีแผนจะทำให้สารในเลือดของซิกซ์ แพร่กระจายออกไปในอากาศ ใครที่ไม่อยากตาย จะต้องมาขอรับยาถอนพิษจากเขา จากนั้น เด๊กซัสกับกองทัพทหาร ที่ยืนอยู่มากมาย ก็ยิงกระหน่ำใส่ไวโอเล็ต แต่ดูเหมือนเธอจะ ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เพราะว่า ไวโอเล็ต ได้ใช้เครื่องฉายภาพหลอกเด๊กซัส


     เมื่อหมดหวังที่จะช่วยชีวิตของซิกซ์แล้ว ไวโอเล็ต จึงพาซิกซ์ไปสนามเด็กเล่น เพื่อให้ ซิกซ์ ได้เล่นสนุก ก่อนจะสิ้นลมหายใจ ไวโอเล็ต เสียใจมากที่ช่วยซิกซ์ไม่ได้ เมื่อเด๊กซัสกับทหารตามมาถึง จึงเก็บศพของซิกซ์ไป และ ฆ่าไวโอเล็ต โดยทิ้งร่างของเธอเอาไว้


     ไวโอเล็ต ฟื้นขึ้นมาในห้องแล็บของเพื่อนสนิท เขาได้ส่งคนแฝงตัวไปนำร่างเธอมา แล้วผ่าตัดช่วยชีวิตเธอจนฟื้น แต่ไวโอเล็ตกลับเสียใจที่ฟื้น เพราะเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อมาในขณะที่ ไวโอเล็ต กำลังนอนเศร้าอยู่ เพื่อนสนิทของเธอก็โทร.มาบอก ให้เปิดทีวีดูข่าวของเธอ เมื่อได้เห็นภาพข่าว ทำให้ ไวโอเล็ต นึกขึ้นได้ว่า น้ำตาของเธอได้หยดลงไป บนใบหน้าของซิกซ์ ไวโอเล็ต จึงพูดออกมาว่า ซิกซ์ยังไม่ตาย


     ไวโอเล็ต จึงรีบบุกไปช่วยซิกซ์ทันที เธอได้ต่อสู้กับเหล่าทหารในตึกอย่างดุเดือด และ ได้ฆ่าทหารไปมากมายจนเกลี้ยงทั้งตึก จนกระทั่งได้พบ เด๊กซัส ซึ่งเขาได้บอกกับเธอว่า เขานั้นคือ ฮีโมเฟจคนแรก จากนั้นก็ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และ ในที่สุด ไวโอเล็ต ก็สามารถฆ่าเด๊กซัสได้สำเร็จ ซิกซ์ ก็ได้ฟื้นขึ้นมา เพราะน้ำตาของเธอนั่นเอง นอกจากนั้น ซิกซ์ ยังรู้สูตรเคมี ที่สามารถรักษาไวโอเล็ตได้ด้วย

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Salt



แนวหนัง : บู๊ ตื่นเต้น ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ที่ประเทศเกาหลีเหนือเมื่อ ๒ ปีก่อน เอฟเวอรีน ซอลท์ สายลับ CIA สาว ถูกจับขังคุก และ ทรมาน แต่ก็ได้ถูกช่วยเหลือ โดยการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษ หัวหน้าของเธอ เป็นผู้มารับตัวเธอไป โดยมีคนรักของเธอ ไมเคิล นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมงมุม มารอรับเธออยู่ ซึ่งเขานั่นเอง ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องร้องเรียน ไปยังกระทรวงการต่างประเทศ จนเกิดการแลกตัวนักโทษขึ้น

     ปัจจุบัน ในวันครบรอบแต่งงานของ ซอลท์กับไมเคิล มีสายลับรัสเซียชื่อ โอลอฟ มายัง สนง. CIA ซอลท์ ได้รับคำสั่งให้ เป็นผู้ทำการสอบสวน โดยมี พีบอดี้ จนท.หน่วยข่าวกรองพิเศษ มาร่วมดูอยู่ด้วย โอลอฟ เล่าให้ซอลท์ฟัง ว่า ในปี 1975 สมัยสงครามเย็น นักมวยปล้ำชายชาวรัสเซียคนหนึ่ง ได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ภายหลังได้แต่งงาน และ มีลูกด้วยกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ทางโรงพยาบาลก็แจ้งว่า ลูกสาวได้เสียชีวิตแล้ว แต่แท้จริงแล้ว ด.ญ.เชนคอฟ ได้ถูกส่งตัวไปอยู่กับ โอลอฟ ผู้ฝึกสายลับรัสเซีย เมื่อฝึกแล้ว ก็ส่งไปแฝงตัวเป็นชาวอเมริกัน เพื่อรอให้ถึงวันสังหาร ซึ่งก็คือ วันพรุ่งนี้ สายลับเชนคอฟ จะต้องลอบสังหาร ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งจะมาร่วมงานศพของ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา แล้วยังบอกอีกว่า สายลับรัสเซียผู้นั้นชื่อ ซอลท์

     เมื่อได้ฟังดังนั้น ซอลท์ จึงรู้ตัวว่า ไมเคิล กำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะสายลับที่ถูกเปิดเผยตัว ครอบครัวจะไม่ปลอดภัย ซอลท์ ยืนยันกับหัวหน้าว่า เธอไม่ใช่สายลับรัสเซีย เธอกำลังถูกใส่ร้าย แต่พีบอดี้ เชื่อผลที่ได้จากเครื่องจับเท็จว่า โอลอฟ พูดความจริง ซอลท์ รีบโทร.หาไมเคิล แต่ยังติดต่อไม่ได้ โอลอฟ ได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ ๒ คน แล้วหลบหนีไปได้ ด้วยความเป็นห่วงสามี ซอลท์ จึงต้องแอบหนี แต่ก็ถูกปิดกั้นทุกทาง เธอจึงต้องขังตัวเองไว้ในห้องๆหนึ่ง แล้วรีบหาวัสดุสำหรับทำระเบิด ในขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคน พยายามจะบุกเข้าไปจับตัวเธอ ซอลท์ จึงยิงระเบิดใส่ ทำให้เธอสามารถหนีออกไปได้ แล้วขึ้นรถแท็กซี่ไป ซอลท์ พยายามโทร.หาไมเคิล แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้

     ซอลท์ กลับถึงบ้าน ไม่พบไมเคิล เธอได้เอาแมงมุมของเขาติดตัวไปด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ก็ไม่พบเธอแล้ว ต่อมาไม่นาน หัวหน้าของซอลท์ เห็นเธอเดินอยู่ริมถนน เธอจึงวิ่งหนี เข้าไปในลานจอดรถ เมื่อเธอถูกล้อมเอาไว้ เธอจึงตัดสินใจ กระโดดลงไป บนหลังคารถบรรทุก ที่กำลังแล่นผ่านไปพอดี จากนั้นก็กระโดด ไปยังรถขนส่งน้ำมัน แล้วค่อยกระโดดไป บนรถอีกคันหนึ่ง แต่คนขับรถมองเห็นในกระจกข้างรถ จึงเบรกทันที ทำให้ซอลท์ กระเด็นตกลงมา เธอจึงชิงรถมอร์เตอร์ไซด์ ขับหนีฝ่ารถติด พ้นไปได้ในที่สุด ซอลท์ เดินทางต่อไป และ ได้เข้าพักในโรงแรม ใกล้กับโบสถ์ที่ ประธานาธิบดีรัสเซีย จะต้องมาร่วมงานศพ แล้วเธอก็ย้อมผมเป็นสีดำ


     วันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดีรัสเซีย มาร่วมงานศพ ซอลท์ แอบลอบเข้าไป ในห้องใต้ดิน เธอระเบิดเพดาน ทำให้พื้นชั้นบนถล่ม ประธานาธิบดีรัสเซีย ตกลงมา และ ถูกเธอยิงล้มลงไป เมื่อ พีบอดี้ วิ่งมาถึง ซอลท์ มีโอกาสยิงเขาได้ แต่เธอกลับยอมให้จับแต่โดยดี พีบอดี้ จึงสงสัยว่า ทำไมเธอจึงไม่ยิงเขา ซอลท์ ถูกคุมตัวขึ้นรถตำรวจไป ในระหว่างทาง ซอลท์ ทำร้ายตำรวจ และ บังคับรถพุ่งจากสะพาน ลงไปชนกับรถ บนถนนด้านล่าง แล้วจึงแอบหลบหนีไปได้

     ซอลท์ ลงเรือเดินทางไปยัง ประเทศรัสเซีย ไปพบกับโอลอฟ เขาพาเธอไปยัง ที่ซ่อนของเหล่าสายลับรุ่นเดียวกับเธอ แต่เมื่อเธอได้เห็นไมเคิล ซึ่งถูกจับตัวมา เขาก็ถูกยิงตาย ต่อหน้าเธอทันที ซอลท์ ต้องข่มความรู้สึกเสียใจเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็น ทำให้ทุกคนไว้ใจเธอ หลังจากนั้น โอลอฟ ได้มอบหมายงานใหม่ ให้เธอไปพบกับสายลับ ที่แฝงตัวอยู่ในองค์การนาโต้ เพื่อรับคำสั่งต่อไป เมื่อฟังคำสั่งจบ ซอลท์ ก็ฆ่าโอลอฟ และ สายลับรัสเซียทั้งหมด จากนั้น เธอก็ไปพบสายลับนาโต้ บนเครื่องบิน ซึ่งก็คือ เพื่อนเก่าร่วมรุ่นฝึกสายลับของเธอนั่นเอง เขาได้บอกให้เธอ ฆ่าประธานาธิบดีอเมริกา แล้วเขาก็พาเธอ ซึ่งได้แปลงโฉมเป็นผู้ชายแล้ว เข้าไปในทำเนียบขาว เมื่อเข้าใกล้ ประธานาธิบดี เขาก็ระเบิดตัวเอง ทำให้หน่วยอารักขา พาประธานาธิบดีเข้าลิฟท์ ลงไปยังห้องนิรภัยใต้ดิน ซอลท์ รีบตามลงไป

     เมื่อถึงห้องใต้ดิน ประธานาธิบดี ก็ได้รับรายงานว่า รัสเซีย อาจจะกำลังเตรียมยิงขีปนาวุธ ประธานาธิบดี จึงสั่งการให้เตรียมพร้อมรบ ในขณะเดียวกัน ซอลท์ ได้ทำลายกล้องวงจรปิดทั้งหมด รวมทั้งวงจรเปิด-ปิดประตูด้วย หัวหน้าของซอลท์ ได้แย่งปืนจากเจ้าหน้าที่อารักขา แล้วฆ่าทุกคนในห้องนิรภัย และ ทำให้ประธานาธิบดีสลบไป จากนั้น เขาก็สั่งการผ่านคอมพิวเตอร์ ให้เตรียมยิงจรวดนิวเคลียร์ เมื่อ ซอลท์ เห็นดังนั้น เธอจึงชวนเขาคุย เขาบอกกับเธอว่า เขาเป็นสายลับรัสเซีย รุ่นพี่ของเธอ เธอจึงไม่เคยรู้จักเขา ก่อนที่จะได้ มาทำงานใน CIA ร่วมกัน ซอลท์ ขอให้เขาเปิดประตู ให้เธอเข้าไป แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นข่าวในโทรทัศน์ ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังไม่ตาย เพราะ ซอลท์ ยิงด้วยพิษแมงมุม ทำให้ดูเหมือนตายไปชั่วขณะเท่านั้น ซอลท์ จึงบอกกับเขาว่า โอลอฟ ได้ตายไปแล้ว เขาจึงบอกกับเธอว่า เขาเป็นคนกล่อมให้โอลอฟ ยอมเปิดโปงฐานะของเธอเอง

     ซอลท์ ยิงกระจกนิรภัยไม่แตก เธอจึงยิงผนังด้านข้างจนทะลุ แล้วต่อสวิทซ์ทำให้ประตูเปิด จากนั้น ก็เข้าไปต่อสู้กัน จนกระทั่ง ตำรวจมาถึง ซอลท์ จึงรีบดึงสายปลั๊กออก จากคอมพิวเตอร์ พีบอดี้ ได้รับรายงานว่า โอลอฟกับพรรคพวกตายแล้ว ซอลท์ ถูกจับใส่กุญแจมือ ในระหว่างที่ เธอถูกคุมตัว เดินผ่านหัวหน้าของเธอ ซึ่งเขาได้เตรียมจะฆ่าปิดปากเธอ ซอลท์ ก็ใช้โซ่กุญแจมือ รัดคอเขา แล้วกระโดดข้ามหัว ทิ้งน้ำหนักรัดคอเขาจนตาย จากนั้น เธอก็ถูกคุมตัว ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป พีบอดี้ ถามเธอว่า ทำไมจึงฆ่าหัวหน้า พร้อมกับชกหน้าเธอ เธอบอกว่า หัวหน้าสมควรถูกฆ่า แต่เธอไม่คิดจะฆ่าเขา และ ประธานาธิบดีรัสเซีย พีบอดี้ ได้รับรายงานว่า พบลายนิ้วมือของซอลท์ ในสถานที่ ที่โอลอฟตาย ซอลท์ บอกกับเขาว่า โอลอฟ พรากทุกอย่างไปจากเธอ เธอจึงตั้งใจจะฆ่าสายลับรัสเซีย ที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งยังมีอยู่อีกจำนวนมาก พีบอดี้ จึงแอบไขกุญแจมือให้ซอลท์ เธอจึงเปิดประตูฮ. กระโดดลงสู่แม่น้ำ แล้วขึ้นฝั่งหนีต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

Billy Elliot



แนวหนัง : ชีวิต

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ปี 1984 ทางตอนเหนือของ ประเทศอังกฤษ คนงานเหมืองส่วนใหญ่ พากันนัดหยุดงานประท้วง รวมทั้ง พ่อ และ พี่ชาย ของ บิลลี่ เด็กชายวัย ๑๑ ปี ซึ่งจะต้องไปโรงยิม เพื่อซ้อมชกมวย ตามที่พ่อของเขาต้องการ ทั้งๆที่เขาไม่เคยชอบเลย ในวันนี้ ทางโรงยิมต้องแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่ง ให้กับการสอนเต้นบัลเล่ย์ สำหรับเด็กผู้หญิง บิลลี่ ชอบมองดูการสอนเต้นบัลเล่ย์ ด้วยความสนใจ และ เมื่อเสร็จจากการซ้อมมวย ซึ่งเขาแพ้ตลอด เขาก็เข้าไปร่วมเรียนเต้นบัลเล่ย์ด้วย โดยต้องคอยปกปิด ไม่ให้พ่อ และ พี่ชายรู้

     บิลลี่ แอบฝึกซ้อมท่าบัลเล่ย์ต่างๆ ในห้องน้ำ และ เรียนเต้นบัลเล่ย์ทุกวัน จนเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อพ่อกับพี่ของบิลลี่ กลับจากการประท้วง พ่อ ก็ได้ไปเห็นบิลลี่ ขณะกำลังเรียนเต้นบัลเล่ย์ พ่อ รู้สึกโกรธมาก จึงเรียกให้เขากลับบ้านทันที บิลลี่ ถูกพ่อต่อว่า และ ห้ามไม่ให้เต้นบัลเล่ย์อีก บิลลี่ จึงวิ่งหนีออกจากบ้าน เขาไปหาครูสอนเต้นบัลเล่ย์ที่บ้านของเธอ บิลลี่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให้ครูฟัง และ อยู่พูดคุยกับลูกสาวของครู ซึ่งเรียนเต้นบัลเล่ย์ มาด้วยกัน จนครูเรียกให้เขากลับบ้าน และ ขับรถไปส่ง ครู บอกกับบิลลี่ ว่า อยากจะส่งเขาไป สอบเข้าโรงเรียนบัลเล่ต์ ในเมืองลอนดอน

     หลังจากนั้น บิลลี่ ก็แอบไปฝึกพิเศษกับครู ตามลำพังทุกวัน จนกระทั่ง ตี ๔ ของวันหนึ่ง พี่ชายของบิลลี่ เตรียมหยิบอาวุธ เพื่อจะออกไปต่อสู้กับตำรวจ พ่อ ก็พยายามห้ามเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ทำให้พ่อ และ บิลลี่ เสียใจ ในวันนั้น บิลลี่ จึงไม่มีสมาธิ ในการฝึกซ้อมเต้นบัลเล่ย์ แถมยังพาล อารมณ์เสียใส่ครู จนถูกครูตบหน้า ทำให้บิลลี่ร้องไห้กับครู เมื่อครูช่วยปลอบใจ แล้วเขาจึงค่อยซ้อมเต้นบัลเล่ย์ต่อได้

     พี่ชายของบิลลี่ ถูกตำรวจจับกุมตัวเอาไว้ บิลลี่ จึงต้องไปกับพ่อ เพื่อรับตัวพี่ชายกลับบ้าน เมื่อ บิลลี่ ไม่ได้ไปตามนัด ครู จึงต้องมาหาบิลลี่ถึงบ้าน เมื่อพี่ชายรู้เข้า ก็ไม่พอใจที่ บิลลี่ เรียนเต้นบัลเล่ย์ จึงทะเลาะกับครู เมื่อครูกลับไปแล้ว บิลลี่ รู้สึกอึดอัดมาก ที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เต้นบัลเล่ย์ ในที่สุด เขาจึงต้องเต้นบัลเล่ย์ ไปตามถนนในซอย แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่ บิลลี่ กำลังสอนเพื่อน ให้เต้นบัลเล่ย์ อยู่ในโรงยิม ตามลำพัง พ่อ ได้ผ่านมาเห็นเข้าพอดี บิลลี่ จึงเต้นบัลเล่ย์ ให้พ่อได้ดู เมื่อพ่อ ได้เห็นความสามารถของบิลลี่ พ่อ ก็ไม่พูดอะไร แต่กลับเดินตรงไปยัง บ้านของครู เพื่อถามครู ถึงค่าใช้จ่าย ในการส่งบิลลี่ไป โรงเรียนบัลเล่ต์

     วันรุ่งขึ้น พ่อ จึงยอมกลับเข้าไปทำงานในเหมืองอีก แต่พี่ชายเห็นเข้า จึงได้ห้ามเอาไว้ พ่อ บอกว่า จำเป็นต้องทำเพื่อบิลลี่ แล้วก็ร้องไห้ พี่ชาย บอกกับพ่อว่า จะหาเงินด้วยวิธีอื่น แล้วจึงพาพ่อกลับบ้าน พี่ชาย ยอมทุบกระปุก พ่อ ยอมเอาสร้อยที่ระลึกต่างหน้าแม่ไปจำนำ แล้วพ่อ ก็พาบิลลี่ ขึ้นรถไปลอนดอน บิลลี่ จึงได้สอบเข้าโรงเรียนบัลเล่ต์ แม้ว่า เขาจะตื่นเต้น และ ไม่มั่นใจ แต่เขาก็ต้อง เต้นให้คณะกรรมการดู หลังจากนั้น ก็ต้องถูกสัมภาษณ์ ก่อนจะกลับบ้านไปพร้อมกับพ่อ

     หลายวันผ่านไป มีจดหมายจากโรงเรียนบัลเล่ต์ ส่งมาถึงบ้าน แจ้งว่า บิลลี่ สอบผ่าน พ่อ พี่ชาย และ ย่า ที่ต่างก็รอลุ้นด้วยความกังวล จึงรู้สึกดีใจมาก บิลลี่ ได้ไปลาครู เพื่อไปเรียนในลอนดอน การประท้วงก็สิ้นสุดลง พ่อ และ พี่ชาย จึงกลับเข้าไปทำงานในเหมืองอีก เวลาผ่านไปหลายปี พ่อ และ พี่ชาย ได้เดินทางไปลอนดอน เพื่อชมการแสดงบัลเล่ย์ของบิลลี่ ซึ่งได้กลายเป็น นักเต้นบัลเล่ย์มืออาชีพ ไปแล้ว

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ภาพคมชัด เสียงดี

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

The Polar Express



แนวหนัง : การ์ตูน ครอบครัว ผจญภัย จินตนาการ

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในคืนคริสต์มาสอีฟ ที่เต็มไปด้วยหิมะ เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเชื่อ ว่า ซานตาครอส มีอยู่จริง เขาได้ยินเสียง ดังมาจากหลังบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปดู พบว่า มีขบวนรถไฟ Polar Express มาจอดอยู่ คนตรวจตั๋ว เรียกให้เขาขึ้นรถไฟ เพื่อไปยังขั้วโลกเหนือ แต่เขาไม่ยอมไป จนกระทั่งรถไฟเริ่มแล่น เขาจึงวิ่งตาม และ กระโดดขึ้นไปได้ทัน เมื่อเข้าไปข้างใน ก็พบว่า มีเด็กๆอยู่อีกหลายคน คนตรวจตั๋ว เดินมาหาเขา พร้อมกับขอตรวจตั๋ว โดยบอกให้เขาล้วงลงไป ในกระเป๋าเสื้อคลุม เขาต้องแปลกใจ เพราะมีตั๋วอยู่ ๑ ใบจริงๆ เมื่อแล่นไปได้สักพักหนึ่ง รถไฟก็จอด เพื่อรับเด็กชายตัวเล็ก เป็นคนสุดท้าย แต่เด็กคนนั้น ก็ไม่ยอมขึ้น จนรถไฟแล่นต่อ เด็กชายตัวเล็ก จึงค่อยเปลี่ยนใจวิ่งตาม แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเห็นดังนั้น เด็กชายคนที่ขึ้นมาก่อน จึงดึงเบรกฉุกเฉิน เพื่อให้รถไฟหยุด เด็กชายตัวเล็ก จึงได้ขึ้น แล้วเดินแยกไปนั่ง ในตู้สุดท้าย เพียงลำพัง


     คนตรวจตั๋ว เดินเข้ามาต่อว่า ที่มีคนดึงเบรกฯ แต่พอรู้สาเหตุ เขาก็ไม่ว่าอะไรอีก จากนั้น จึงเรียกพนักงานออกมาเสิร์ฟ ช็อกโกแลตร้อน ให้กับเด็กๆทุกคน เด็กหญิงผิวดำคนหนึ่ง ได้แอบซ่อนช็อกโกแลตร้อน ไว้หนึ่งถ้วย เมื่อคนตรวจตั๋ว และ พนักงานเสิร์ฟ ไปแล้ว เด็กหญิงผิวดำ จึงยกถ้วยช็อกโกแลตร้อน ไปให้เด็กชายตัวเล็กชื่อ บิลลี่ เมื่อเด็กชาย เห็นว่า เด็กหญิงผิวดำ ลืมตั๋วไว้บนที่นั่ง จึงหยิบนำไปให้ แต่ก็ถูกลมพัด ปลิวออกไปนอกรถไฟ แต่สุดท้าย ก็ปลิวกลับเข้าไป ติดช่องลมในตู้รถไฟ โดยที่ยังไม่มีใครเห็น เมื่อคนตรวจตั๋ว ขอตรวจตั๋ว ของเด็กหญิงผิวดำ ก็ได้รู้ว่า เด็กชาย ทำตั๋วปลิวหายไป คนตรวจตั๋ว จึงพาเด็กหญิง ไปยังท้ายขบวน



     เด็กชาย เห็นตั๋วที่ช่องลม จึงรีบหยิบตั๋ว แล้วเดินตามไป ปีนขึ้นไป บนหลังคารถไฟ ซึ่งเต็มไปด้วยหิมะ ในขณะที่ หิมะกำลังตก เขาได้พบชายคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างกองไฟ ชายคนนั้นบอกว่า เขาขึ้นรถไฟฟรี และ ถามเด็กชายเกี่ยวกับ ความเชื่อ ทั้งเรื่อง ซานต้า ขั้วโลกเหนือ และ ผี จากนั้น เขาก็พาเด็กชาย เดินตามหาเด็กหญิง โดยเดินไปบนหลังคารถไฟ ไปยังหัวขบวน ในขณะที่ รถไฟต้องแล่นขึ้นเขา ลงเขา ชายคนนั้นบอกให้เด็กชาย กระโดด ก่อนที่รถไฟ จะลอดอุโมงค์ แล้วชายคนนั้นก็หายตัวไป เด็กชาย ได้พบกับเด็กหญิง อยู่บนที่นั่งของคนขับรถไฟ



     คนขับรถไฟ ๒ คน กำลังเปลี่ยนหลอดไฟหน้ารถ เห็นฝูงกวางแคริบู นับแสนตัวขวางทางอยู่ จึงตะโกนบอกให้ เด็กหญิงหยุดรถ แต่เด็กหญิง เกิดรู้สึกลังเล เด็กชายจึงช่วยเบรกแทน คนตรวจตั๋ว เห็นดังนั้น จึงแก้ปัญหาด้วยการ ดึงเคราของคนขับคนหนึ่ง เพื่อให้ส่งเสียงร้อง คล้ายเสียงกวาง ทำให้ฝูงกวาง ยอมถอยห่างออกจากรางรถไฟ เมื่อรถไฟแล่นต่อไปสักครู่ สลักคันโยกก็หลุด ทำให้รถแล่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ คนตรวจตั๋ว เด็กชาย และ เด็กหญิง ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของรถไฟ จึงต้องเกาะไว้ให้แน่น รถไฟแล่นลงเขา ด้วยความเร็วสูง จนถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทำให้รถไฟลื่นไถล พื้นน้ำแข็งแตกแยกตามมา คนตรวจตั๋ว จึงบอกให้ขับรถไฟหนีโดยเร็ว จนสามารถแล่นขึ้นเขา ได้ทันพอดี เด็กชาย จึงได้คืนตั๋วให้เด็กหญิง แล้วคนตรวจตั๋ว ก็พาทั้งคู่ เดินกลับไปนั่งที่ตู้เดิม



     หลังจากนั้น เด็กหญิง ก็เดินไปหาบิลลี่ ซึ่งกำลังยืนร้องเพลง มองท้องฟ้า อยู่ท้ายขบวน โดยมีเด็กชาย เดินตามไปด้วย เด็กหญิง จึงร่วมร้องเพลง แล้วยืนชมแสงเหนือด้วยกัน ๓ คน คนตรวจตั๋ว ได้เดินมาหา เพื่อบอกว่า จวนจะถึงขั้วโลกเหนือ แล้วจึงชี้ให้ดู


     เมื่อรถไฟ ไปถึงขั้วโลกเหนือ บิลลี่ ไม่ยอมลงจากรถไฟ เด็กหญิง และ เด็กชาย จึงขึ้นไปตาม แต่เด็กชายก้าวพลาด เหยียบถูกคันโยก ทำให้ตู้สุดท้าย ถูกแยกออก และ แล่นถอยหลังลงไป เมื่อหยุดแล่นแล้ว เด็กหญิง ได้ยินเสียงกระดิ่ง ออกมาจากอุโมงค์ จึงพากันเดินตามเสียงไป มีแต่เด็กชายเพียงคนเดียว ที่ไม่ได้ยินเสียงกระดิ่ง ทั้งสามคน เห็นเอลฟ์นั่งกระสวยเดินทาง จึงนั่งกระสวยตามไปบ้าง จนถึงจุดจอดกระสวย แล้วเดินต่อไปตามทาง ที่มีลูกศรชี้



     บิลลี่ เห็นกล่องของขวัญ ที่มีชื่อของตน เลื่อนผ่านหน้าไป จึงกระโดดตามไปจับไว้ เด็กหญิง และ เด็กชาย จึงต้องกระโดดตามไปด้วย จนไหลลื่นไปตามทาง ตกลงไปบนกองของขวัญ ซึ่งอยู่ในถุงผ้าขนาดยักษ์ ทันใดนั้น ถุงของขวัญก็ถูกดึง ลอยขึ้นไปกับบอลลูน ก่อนจะถูกทิ้งลง บนรถเลื่อนของซานต้า เหล่าเอลฟ์ ก็มาพาเด็กๆลงไป อย่างปลอดภัย



     เหล่าเอลฟ์ ได้พากวางเรนเดียร์ เดินออกมา มีเสียงกระดิ่งดังกังวาล ทุกคนต่างชื่นชม แต่เด็กชายกลับไม่ได้ยิน หลังจากนั้น ซานตาคลอส ก็เดินออกมา กวางเรนเดียร์ กระโดดจนกระดิ่ง หลุดกระเด็นออกมา ๑ ลูก เด็กชาย เก็บกระดิ่งขึ้นมา เขย่าข้างหู แต่เขาก็ไม่ได้ยินเสียง เขาจึงยอมเชื่อว่า ซานต้ามีอยู่จริง แล้วจึงได้ยิน เสียงกระดิ่งอันไพเราะ ในทันใด เมื่อซานต้า เดินมาถึง เด็กชาย จึงคืนกระดิ่งให้ ซานต้า จึงเลือกเด็กชาย ให้เป็นผู้ที่ได้รับของขวัญชิ้นแรก เด็กชาย ได้กระซิบข้างหูของซานต้า ว่า อยากได้กระดิ่ง เป็นของขวัญ ซานต้า จึงมอบให้ พร้อมกับบอกเขาว่า จิตวิญญาณที่แท้จริงของคริสต์มาส อยู่ในใจเธอ ก่อนที่ ซานต้า จะบอกให้กวางเรนเดียร์ ลากรถเลื่อน เหาะขึ้นท้องฟ้า แล้วหายไป




     ก่อนจะขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางกลับบ้าน คนตรวจตั๋ว ได้เจาะรูเพิ่ม ที่ตั๋วของเด็กๆ เรียงเป็นตัวอักษร เด็กหญิง ได้คำว่า LEAD (นำ) เด็กชาย ได้คำว่า BELIEVE (เชื่อ) เมื่อไปถึงที่นั่งแล้ว เพื่อนๆก็มาขอดู กระดิ่ง ที่ซานต้าให้เด็กชายมา แต่พอเด็กชาย ล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม ก็พบว่า กระดิ่งไม่อยู่แล้ว เพราะเผลอใส่กระเป๋า ข้างที่ขาดเป็นรู หลังจากนั้น รถไฟก็เริ่มแล่น เพื่อนๆจึงได้แต่บอกว่า เสียใจด้วย จนเมื่อถึงบ้านของบิลลี่ เขาก็พบว่า ซานต้าได้นำของขวัญ มาวางไว้ให้แล้ว และ เมื่อถึงบ้านของเด็กชาย คนตรวจตั๋ว ได้บอกกับเขาว่า ไม่สำคัญว่า รถไฟจะไปที่ไหน แต่สำคัญที่ การตัดสินใจขึ้นรถไฟไป




     เช้าวันรุ่งขึ้น น้องสาวของเด็กชาย ปลุกเขาให้ตื่น เพื่อไปแกะกล่องของขวัญด้วยกัน พบกล่องของขวัญขนาดเล็ก ภายในมี กระดิ่ง และ ข้อความจากซานต้า บอกว่า เสียงกระดิ่ง จะดังสำหรับ คนที่เชื่ออย่างแท้จริง เท่านั้น

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด (สวยมาก) เสียงดี