วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Invictus



แนวหนัง : ชีวิต (สร้างจากเรื่องจริงของอดีตประธานาธิบดีแอฟฟริกาใต้ เนลสัน แมนเดล่า)

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างปานกลาง (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เนลสัน แมนเดล่า เพิ่งได้รับการปล่อยตัว หลังจากติดคุกมานานถึง ๒๗ ปี เขาเริ่มทำงานทันที เพื่อยุติการแบ่งแยกสีผิว และ การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย โดยให้ประชาชนผิวดำได้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วย เนลสัน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแอฟฟริกาใต้ในอีก ๔ ปีถัดมา ในวันแรกของการทำงานที่ทำเนียบประธานาธิบดี เจ้าหน้าที่ผิวขาวทั้งหลายต่างเกรงว่า จะไม่สามารถทำงานร่วมกับคนผิวดำได้ แต่เนลสันได้กล่าวเปิดใจให้ทุกคน ปล่อยอดีตให้ผ่านไป เริ่มต้นด้วยการให้อภัยกัน แล้วหันมาร่วมมือร่วมใจ พัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ผิวดำ และ ผิวขาว สามารถทำงานร่วมกันได้ ไม่เว้นแม้แต่ทีมรักษาความปลอดภัยของเขาเอง

     ในขณะที่ เนลสัน ทำงานอย่างหนักจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เพื่อแก้ไขปัญหามากมายของประเทศ เขาก็ยังให้ความสนใจกับกีฬารักบี้ ในระหว่างนั่งชมการแข่งขัน ระหว่างทีมชาติแอฟฟริกาใต้ "สปริงบ็อค" กับทีมชาติอังกฤษ เนลสัน ได้สังเกตุเห็นว่า มีแต่คนผิวขาวเท่านั้นที่เชียร์สปริงบ็อค ส่วนคนผิวดำกลับเชียร์ทีมชาติอังกฤษ เพราะสปริงบ็อคเป็นสัญญลักษณ์ของการแบ่งแยกสีผิว เขาจึงคิดที่จะทำให้สปริงบ็อค กลายเป็นทีมชาติที่ทุกคนร่วมกันเชียร์ให้ได้ เริ่มต้นจากการเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการกีฬาฯ ไม่ให้เปลี่ยนชื่อ และ สีเขียวทอง ของสปริงบ็อค เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้คนผิวขาวไม่พอใจ ซึ่งขัดต่อนโนบายยุติการแบ่งแยกสีผิวของเขา

     ฟรังซัว เพียแนร์ กัปตันทีมสปริงบ็อค ได้รับคำเชิญให้เดินทางไปเข้าพบประธานาธิบดีที่ทำเนียบฯ เนลสันได้แสดงความห่วงใยต่ออาการบาดเจ็บของฟรังซัว ตั้งแต่นาทีแรกที่พบกัน
เนลสันได้พูดถึงบทกวี "Invictus" ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาสมัยที่อยู่ในคุก และ ยังพูดเป็นนัยให้ ฟรังซัว นำทีมสปริงบ็อคเข้าไปถึงการแข่งขันรักบี้เวิร์ลคัพให้ได้ ซึ่งฟรังซัวก็เข้าใจ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม เพราะเท่าที่ผ่านมา สปริงบ็อคก็พ่ายแพ้มาตลอด

     ในระหว่างการฝึกซ้อมอย่างหนักของสปริงบ็อค เนลสัน ได้บอกกับผู้บริหารทีมฯ ให้ลูกทีมทุกคนต้องแบ่งเวลา เพื่อตระเวนไปฝึกสอนเด็กๆผิวดำที่ยากจนให้เล่นรักบี้ด้วย ในตอนแรกลูกทีมผิวขาวทุกคนไม่พอใจ ยกเว้น ฟรังซัว กับ ลูกทีมผิวดำเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ และ ความสนุกสนานร่าเริงของเด็กๆ ที่ได้เล่นรักบี้กับพวกเขาแล้ว ลูกทีมทุกคนก็เข้าใจ และ ยอมรับหน้าที่นี้แต่โดยดี ซึ่งภาพข่าวที่ออกมา ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการไม่แบ่งแยกสีผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้เนลสันรู้สึกพอใจมาก

     ในการแข่งขันกีฬารักบี้ระดับโลก(
เวิร์ลคัพ)ที่เพิ่งจะเริ่มขึ้น สปริงบ็อค เริ่มได้รับเสียงเชียร์จากคนผิวดำด้วย การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ยิ่งสปริงบ็อคได้รับชัยชนะในการแข่งขันรอบแรก และ รอบต่อๆไป ก็ยิ่งทำให้ได้รับเสียงเชียร์เพิ่มขึ้น การแบ่งแยกสีผิวค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่ทีมรักษาความปลอดภัยของเนลสัน ที่เคยจำใจต้องร่วมงานกันระหว่างคนผิวดำ กับ คนผิวขาว ในตอนแรก ก็กลับกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันในที่สุด


     ก่อนที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะมาถึง นักกีฬาทีมสปริงบ็อคและครอบครัว ได้รับเชิญให้ไปเที่ยวที่เกาะร็อบเบ็น สถานที่ซึ่งเคยเป็นคุกที่กักขังเนลสันไว้ ฟรังซัว ได้เข้าไปยืนอยู่ในห้องขังที่เนลสันเคยอยู่ ทำให้เขารู้สึกทึ่ง และ ประหลาดใจว่า เนลสัน สามารถให้อภัยคนที่ทำให้เขาต้องถูกขังอยู่ในห้องแคบๆเกือบ ๓๐ ปี ได้อย่างไรกัน

     เมื่อวันแข่งขันฯมา
ถึง เนลสัน ได้แต่งชุดทีมสปริงบ็อค เดินทักทายกับนักกีฬาทั้งสองทีม รวมทั้งคนดูในสนามด้วย ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น มีเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่ง บินโฉบลงมาใกล้สนามกีฬา จนทุกคนในสนามสามารถมองเห็นข้อความเชียร์สปริงบ็อค ที่ใต้ปีกเครื่องบิน ทุกคนจึงส่งเสียงเฮกันใหญ่ และ เมื่อการแข่งขันก็เริ่มขึ้น ฟรังซัว ได้ปลุกใจลูกทีมทุกคน ให้เล่นอย่างสุดกำลังฝีมือ แม้ว่าทีมฝั่งตรงข้ามจะเป็นคู่แข่งที่เก่งกาจมากจนน่ากลัวก็ตาม ลูกทีมสปริงบ็อคทุกคน ก็ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว จนสามารถเอาชนะทีมคู่แข่งได้ในที่สุด

     เนลสัน ได้กล่าวขอบคุณฟรังซัว ที่ได้ทำเพื่อประเทศชาติ แต่ฟรังซัวได้ตอบกลับไปว่า ท่าน(เนลสัน)ต่างหาก ที่สมควรได้รับคำขอบคุณนั้นจริงๆ บัดนี้ ชาวแอฟริกาใต้ทั่วทั้งประเทศ ได้พร้อมใจกันส่งเสียงร้องด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง การแบ่งแยกสีผิว ที่เคยมีมานานหลายชั่วอายุคน ได้สลายลงไปในทันที

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Children of Heaven



แนวหนัง (อิหร่าน) : ชีวิต (น่ารัก น่าลุ้น)

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ด.ช. อาลี นักเรียนชั้น ป. ๓ เพิ่งเสร็จจากการทำงาน และ ไปรับรองเท้าสีชมพูของน้องสาว มาจากช่างซ่อมรองเท้า ก่อนกลับบ้านได้แวะร้านผลไม้เพื่อซื้อมันฝรั่ง อาลีวางรองเท้าที่อยู่ในถุงพลาสติกสีดำไว้หน้าร้าน ในขณะที่อาลีกำลังเลือกมันฝรั่งอยู่นั้น มีคนเก็บของเก่าขายเข็นรถมาจอดอยู่หน้าร้าน แล้วหยิบเอาถุงหลายใบที่เจ้าของร้านผลไม้ยกให้ โดยได้หยิบเอาถุงที่มีรองเท้ารวมไปด้วย อาลีซื้อของเสร็จก็พบว่า รองเท้าของน้องสาวได้หายไปแล้ว อาลีหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

     อาลี กลับถึงบ้าน มาเห็นแม่กำลังทะเลาะกับคนเก็บค่าเช่าบ้าน อยู่ที่ลานซักผ้าหน้าบ้านพอดี ครอบครัวอาลีค้างค่าเช่าบ้านมา ๕ เดือนแล้ว เมื่ออาลีเดินเข้าไปในบ้าน ซาร่า ผู้เป็นน้องสาวก็ถามถึงรองเท้าที่เอาไปซ่อม อาลีบอกซาร่าไปตามตรง พอเห็นซาร่าเสียใจ อาลีก็บอกว่า จะไปหาดูอีกรอบ อย่าเพิ่งบอกแม่ อาลีย้อนกลับไปดูที่ร้านผลไม้ แต่ก็ไม่พบรองเท้าคู่นั้น

     ในขณะที่ อาลี และ ซาร่า กำลังทำการบ้านกันอยู่ พ่อ กับ แม่ ก็กำลังคุยกันถึงเรื่องที่ยังไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ซาร่าจึงเขียนข้อความลงในสมุดการบ้าน แล้วส่งให้อาลีอ่าน เพื่อถามถึงรองเท้าที่ซาร่าจะต้องใส่ไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ เพราะไม่อยากให้พ่อแม่รู้เรื่องที่รองเท้าหายไป อาลีเขียนตอบกลับไปว่า ให้ซาร่าใส่รองเท้าผ้าใบของเขาไปก่อน เพราะพ่อไม่มีเงินซื้อให้ใหม่ โดยให้ซาร่าใส่ไปเรียนรอบเช้า พอเลิกเรียนค่อยเอามาให้อาลีใส่ไปเรียนรอบบ่ายต่อ ซาร่าเขียนปฏิเสธไป อาลีจึงเขียนบอกว่า "พี่ขอร้อง" พร้อมกลับยื่นดินสอของตัวเองให้ซาร่า เพราะเห็นว่าดินสอของซาร่าเหลือสั้นมากแล้ว ซาร่าจึงยอมตกลง



     เช้าวันรุ่งขึ้น ซาร่า ใส่รองเท้าผ้าใบของอาลีไปโรงเรียนทั้งน้ำตา พอเลิกเรียน ซาร่าก็รีบวิ่งเพื่อเอารองเท้าไปให้อาลี เมื่อเปลี่ยนเอารองเท้าแตะให้ซาร่าใส่แทนแล้ว อาลีจึงรีบวิ่งไปโรงเรียนทันที แต่ก็ไปไม่ทันเวลาเข้าแถว ทำให้อาลีไปโรงเรียนสายเป็นครั้งแรก ครูใหญ่เห็น แต่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ในตอนเย็นวันเดียวกันนั้น ซาร่ากำลังนั่งล้างจานอยู่หน้าบ้าน เมื่ออาลีกลับมาถึง ซาร่าก็เห็นว่า รองเท้าผ้าใบของอาลีดูสกปรกมาก จึงบอกอาลีว่า พรุ่งนี้ไม่กล้าใส่ไปโรงเรียนแล้ว อาลีจึงชวนน้องซักรองเท้าด้วยกัน ในระหว่างซักรองเท้า ทั้งคู่ก็เป่าฟองสบู่เล่นกัน สนุกสนานตามประสาพี่น้อง แต่ในคืนนั้นฝนตก ทำให้รองเท้าที่ตากไว้เปียกอีก

     เช้าวันต่อมา ซาร่า ต้องใส่รองเท้าผ้าใบที่ยังเปียกชุ่มอยู่ไปโรงเรียน แต่นั่น...ก็ยังไม่ทำให้ซาร่าเป็นกังวลมากนัก เมื่อเทียบกับที่ครูให้ทำข้อสอบจนเลยเวลาเลิกเรียน ซาร่าจึงต้องรีบทำข้อสอบจนเสร็จเป็นคนแรกของห้อง แล้วจึงขออนุญาตครูกลับก่อน ด้วยความเป็นห่วงอาลีที่กำลังรอรองเท้าอยู่ ซาร่ารีบวิ่ง และ กระโดดข้ามท่อระบายน้ำ จนรองเท้าข้างขวาตกลงไปในท่อ และ ถูกกระแสน้ำซัดไหลไปอย่างรวดเร็ว ซาร่าวิ่งตามไปเท่าไหร่ก็ไม่ทัน จนรองเท้าลอยเข้าไปติดอยู่ใต้แผ่นหิน ซาร่าจึงได้แต่นั่งร้องไห้ ลุงเจ้าของร้านแถวนั้นเห็นซาร่าร้องไห้อยู่หน้าร้าน จึงเดินเข้ามาถาม และ ช่วยเก็บรองเท้ากับลุงอีกคนหนึ่งจนสำเร็จ ซาร่ารีบเอารองเท้าไปให้อาลีทั้งน้ำตา

     อาลี ใส่รองเท้าที่เปียกข้างหนึ่งไปโรงเรียนสายกว่าเมื่อวาน ครูใหญ่จึงเรียกมาตักเตือน ก่อนปล่อย
อาลีไปเข้าห้องเรียน ในวันนี้ ครูประจำชั้นได้ประกาศผลสอบ อาลีติดอันดับหนึ่งในสามคนที่ได้คะแนนสูงสุดของห้อง ครูจึงบอกให้อยู่รอหลังเลิกเรียน อาลีเดินกลับบ้าน ได้พบซาร่าระหว่างทาง จึงเอาปากกาสีทองที่ครูให้เป็นรางวัลนั้นยกให้ซาร่า ทำให้ซาร่ายิ้มได้


     ในวันถัดมา ขณะที่ซาร่ากำลังเข้าแถวกับเพื่อนๆ ก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่รองเท้าสีชมพูที่หายไปคู่นั้น พอถึงช่วงเวลาพัก ซาร่าก็เดินหาตัวเด็กคนนั้นจนเจอ แต่ก็ทำได้แค่มอง แล้วค่อยแอบไปดักรอหลังเลิกเรียน ซาร่าแอบเดินตามเด็กคนนั้นไปจนถึงหน้าบ้าน และ ได้ยินแม่ของเด็กคนนั้นเรียกชื่อว่า โรยา

     อาลี ไปโรงเรียนสายเป็นครั้งที่สาม คราวนี้ครูใหญ่ดักรออยู่ จึงบอกให้อาลีไปตามพ่อ หรือ แม่ มาพบครู อาลีบอกว่า
วันนี้พ่อต้องทำงาน พรุ่งนี้พ่อก็ต้องทำงาน แม่ก็ไม่สบาย ครูใหญ่จึงไล่ให้อาลีกลับบ้านไป ครูประจำชั้นซึ่งเพิ่งเดินเข้ามา เห็นอาลีเดินร้องไห้ จึงถามไถ่ แล้วจึงช่วยรับรองกับครูใหญ่ว่า อาลีเป็นเด็กดี ไม่เคยเหลวไหล หรือ เกเรมาก่อน ครูใหญ่จึงยอมให้อาลีกลับเข้าห้องเรียน

     ซาร่า พาอาลีไปแอบดูที่หน้าบ้านของโรยา จนได้เห็นโรยากำลังพาพ่อที่ตาบอดออกไปขายของ ทั้งคู่เห็นอย่างนั้นแล้วจึงกลับบ้านไปโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วนพ่อของอาลีนั้น ได้ยืมเครื่องมือทำสวนมาจากเพื่อน จึงคิดที่จะพาอาลีไปรับจ้างทำสวนเพื่อหารายได้เพิ่ม

     เมื่อถึงวันหยุด พ่อก็ขี่รถจักรยานพาอาลีซ้อนท้ายเข้าไปในเมือง แล้วต้องเข็นรถจักรยานขึ้นเนินเขา ไปยังหมู่บ้านที่มีแต่คนรวย พ่อกับอาลีช่วยกันกดกริ่งหน้าประตูแทบทุกบ้าน แต่ก็ไม่มีใครสนใจให้ทำสวน แถมยังถูกสุนัขเห่าไล่อีก ทั้งคู่จึงรีบวิ่งหนีกันจนเหนื่อยหอบ ขณะที่พ่อกำลังนั่งพักอยู่นั้น อาลีหันไปเห็นก๊อกน้ำที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง จึงได้อาศัยดื่มน้ำจากก๊อกนั้น ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเด็กผู้ชายพูดผ่านลำโพงข้างประตูออกมา ชวนอาลีคุยด้วย อาลีจึงบอกให้ถามผู้ใหญ่ในบ้านเรื่องทำสวน เด็กน้อยตอบว่า มีแต่ปู่ซึ่งนอนหลับอยู่ อาลีกับพ่อจึงเดินจากไป

     แต่...ยังไม่ทันไร เด็กน้อยกับปู่ก็ออกมาหน้าบ้าน ทั้งคู่ตะโกนเรียกอาลีกับพ่อ
ให้เข้าไปทำสวนในบ้าน เพราะอยากได้เพื่อนเล่น เด็กน้อยจึงชวนอาลีไปเล่นด้วยกัน อาลีเองก็สนุกไปกับเด็กน้อย และ ของเล่นที่ไม่เคยได้เล่นมาก่อนเลย จนกระทั่งเด็กน้อยหลับไป พ่อก็ทำสวนเสร็จเรียบร้อยพอดี เจ้าของบ้านได้ให้ค่าจ้างเป็นเงินจำนวนมาก เพราะรู้สึกชื่นชอบในฝีมือการทำสวนของพ่ออาลี เมื่อเห็นว่าพ่อกำลังดีใจที่ได้เงินมากพอที่จะใช้ได้ทั้งเดือน จึงบอกให้พ่อซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ซาร่าด้วย พ่อก็รับปาก ในขณะที่กำลังขี่รถจักรยานลงเนิน เบรกก็เสียพอดี ทำให้รถจักรยานพุ่งลงเนินอย่างรวดเร็ว จนไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง รถจักรยานพัง พ่อได้รับบาดเจ็บ จึงต้องอาศัยนั่งท้ายรถกระบะของคนอื่นกลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน แม่บอกว่า เจ้าของบ้านมาทวงค่าเช่าอีกแล้ว พ่อจึงบอกว่า พรุ่งนี้จะไปจ่ายค่าเช่าบ้าน

     ซาร่า ทำปากกาตกโดยไม่รู้ตัว ขณะกำลังวิ่งกลับบ้าน โรยาเก็บได้ แต่เรียกซาร่าไม่ทัน ในช่วงบ่ายวันนั้น ครูวิชาพละได้ประกาศรับสมัครคัดเลือก ตัวแทนแข่งวิ่งระยะไกลของโรงเรียน อาลีก้มมองดูรองเท้าผ้าใบของตัวเอง ที่ทั้งเก่าและขาด จึงไม่คิดที่จะสมัคร วันรุ่งขึ้น โรยา เอาปากกาสีทองมาคืนให้ซาร่าในช่วงพัก จึงได้โอกาสทำความรู้จักกัน และ ในวันเดียวกันนั้น พ่อที่ตาบอดก็ได้ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้โรยา แม่ของโรยาจึงเอารองเท้าสีชมพูไปแลกของ กับคนรับแลกของเก่า เมื่อซาร่าได้รู้เรื่องนี้จากโรยาในภายหลัง ก็ได้แต่บ่นเสียดายรองเท้าคู่นั้น



     อาลี ได้แต่เฝ้ามองคนอื่นๆ ที่กำลังแข่งวิ่งเพื่อเป็นตัวแทนของโรงเรียน จากทางหน้าต่าง จนกระทั่งได้เห็นประกาศรายชื่อตัวแทนฯ และ รางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขัน

รางวัลที่ ๑ ได้เข้าค่ายพักแรมฟรี ๒ สัปดาห์ และ ชุดกีฬา

รางวัลที่ ๒ ได้เข้าค่ายพักแรมฟรี ๑ สัปดาห์ และ อุปกรณ์การศึกษา

รางวัลที่ ๓ ได้เข้าค่ายพักแรมฟรี ๑ สัปดาห์ และ รองเท้าผ้าใบ ๑ คู่

     อาลี อยากได้รองเท้าให้น้อง จึงไปขอสมัครกับครูพละ แต่ครูไม่ยอมรับ เพราะได้คัดเลือกตัวแทนฯไปเรียบร้อยแล้ว อาลีจึงอ้อนวอน และ ร้องไห้ พร้อมทั้งสัญญากับครูว่า จะชนะการแข่งขันให้ได้ ครูจึงใจอ่อนยอมให้อาลีวิ่งให้ดู เมื่อได้จับเวลาการวิ่งของอาลีแล้ว ครูรู้สึกพอใจที่อาลีวิ่งได้เร็วมาก จึงยอมเพิ่มชื่ออาลีเป็นตัวแทนฯอีกคน อาลีรีบนำข่าวดีนี้กลับไปบอกให้ซาร่ารู้ โดยบอกว่า จะต้องได้รางวัลที่ ๓ แน่ๆ แล้วจะขอเปลี่ยนจากรองเท้าผ้าใบ เป็นรองเท้าผู้หญิงให้ซาร่า

     เมื่อวันแข่งขันมาถึง มีเด็กจากโรงเรียนอื่นๆเข้าแข่งขันเป็นร้อยคน ในการแข่งขันวิ่งรอบทะเลสาป อาลีวิ่งแซงเด็กส่วนใหญ่จนเหนื่อย พื้นรองเท้าก็ทะลุ แต่เมื่อนึกถึงน้องสาว อาลีก็มีแรงฮึดจนสามารถวิ่งเร็วขึ้นอีก แม้จะถูกเด็กคนหนึ่งดึงจนหกล้ม อาลีก็ไม่ยอมแพ้ รีบลุกขึ้นมาวิ่งต่อ จนกระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย อาลี และ เด็กอีก ๔ คน ก็ยังวิ่งสูสีกันอยู่ และแล้ว ในที่สุด อาลีก็เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ได้รางวัลที่ ๑



     ในขณะที่ครูทุกคนที่มาด้วย กำลังดีใจมาก อาลีกลับร้องไห้ และ ถูกถ่ายรูปทั้งที่น้ำตานองหน้า อาลีจึงต้องกลับบ้านไปพร้อมกับ ความผิดหวัง และ เสียใจ เมื่อซาร่าเห็นสีหน้าของอาลีก็ได้ทันทีรู้ว่า ไม่ได้รองเท้า แต่ซาร่าก็ไม่ว่าอะไร  อาลีถอดรองเท้าที่ขาด และ พื้นทะลุออก แล้วค่อยๆแช่เท้าที่บวมพองจากการวิ่ง ลงในบ่อน้ำหน้าบ้าน ในเวลานั้นพี่น้องทั้งคู่ยังไม่รู้ว่า พ่อกำลังกลับมาบ้าน และ ได้แวะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ซาร่าด้วย

หมายเหตุ : หากต้องการฟังเสียงต้นฉบับ ให้เลือก French จะได้ฟังเสียงจริงของนักแสดงเด็กที่น่ารัก เป็นภาษาอิหร่าน ไม่ใช่ภาษาฝรั่งเศส

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย REMASTER (รี มาสเตอร์) ภาพคมชัด เสียงดี

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Moon



แนวหนัง : ชีวิต จินตนาการ วิทยาศาสตร์

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ในอนาคต โลกขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก มนุษย์ได้ค้นพบหินแร่ชนิดหนึ่งบนดวงจันทร์ ซึ่งได้กักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์เอาไว้ และ เมื่อสกัดออกมา จะได้เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่เรียกว่า ฮีเลี่ยม-๓ จึงมีการใช้เครื่องเก็บเกี่ยวทำการเก็บ และ สกัดหินชนิดนี้บนดวงจันทร์ แล้วส่งมายังโลก โดยมีบริษัท ลูน่า อินดัสตรี้ (Lunar Industries) เป็นผู้ที่ผูกขาดสัมปทานแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

     แซม เบล พนักงานของ ลูน่า อินดัสตรี้ เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ต้องทำงานอยู่บนดวงจันทร์ ภายในฐานปฏิบัติการแบบอัตโนมัติ "ซาราง" โดยมีหุ่นยนต์ "เกอร์ตี้" ผู้ช่วยประจำฐานฯ คอยให้ความช่วยเหลือในทุกๆด้าน อีกเพียงแค่ ๒ สัปดาห์ ก็จะครบกำหนดสัญญาจ้าง ๓ ปี เขาดีใจมากที่จะได้กลับบ้าน ได้ไปอยู่กับ ภรรยา และ ลูกสาว บนโลกอย่างมีความสุข

     ตลอดเวลาเกือบ ๓ ปี แซม ไม่สามารถพูดโต้ตอบกับคนบนโลกแบบการถ่ายทอดสดได้ เพราะอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียมขัดข้อง ซึ่งทางบริษัทฯก็ไม่มีแผนที่จะซ่อมให้ จึงทำได้เพียงการสื่อสารผ่านทางวิดีโอเทปเท่านั้น ในตอนนี้ เขาเริ่มไม่ค่อยสบาย เห็นภาพหลอนของหญิงสาววัยรุ่นนั่งอยู่ในฐานฯ  และ ในระหว่างการเดินทางจากฐานฯ ไปยังเครื่องเก็บเกี่ยว แซมเห็นภาพหลอนของคน ยืนอยู่ใกล้เครื่องเก็บเกี่ยว เขาจึงเสียสมาธิ จนขับรถไปชนเข้ากับเครื่องเก็บเกี่ยว บาดเจ็บ และ หมดสติไป

     แซม ตื่นขึ้นมาบนเตียงพยาบาลในฐานฯ เกอร์ตี้บอกแต่เพียงว่า เขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วน แต่เขาเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง เมื่อเขาแอบไปได้ยิน เกอร์ตี้ กำลังพูดโต้ตอบกับผู้บริหารของ ลูน่า อินดัสตรี้ ซึ่งอยู่บนโลก อีกทั้ง เกอร์ตี้ ยังได้รับคำสั่ง ห้ามไม่ให้เขาออกไปภายนอกฐานฯอีกด้วย หลังจากนั้น เขาก็ได้รับข้อความจากผู้บริหารฯว่า ได้ส่งทีมกู้ภัยมา เพื่อซ่อมแซมเครื่องเก็บเกี่ยว

     แซม แอบทำให้ท่อส่งแก๊สรั่ว โดยอ้างว่า อาจมีสะเก็ดอุกาบาตตกลงมาโดนฐานฯ เพื่อให้ เกอร์ตี้ ยอมให้เขาออกไปตรวจดูภายนอก ก่อนออกไป เขาพบว่า ชุดอวกาศได้หายไป ๑ ชุด เมื่อได้ออกไปภายนอกฐานฯ เขาก็รีบขับรถตรงไปยังเครื่องเก็บเกี่ยวที่เสียหาย และ ได้พบชายคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาเหมือนเขา สลบอยู่ในรถที่เกิดอุบัติเหตุ จึงรีบช่วยพาชายคนนั้นกลับไปยังฐานฯ


     แซม ได้ถามเกอร์ตี้ว่า ชายคนที่เขาช่วยมานั้นเป็นใคร เกอร์ตี้ตอบแต่เพียงว่า เขาทั้งคู่คือ แซม เบล ในตอนนี้แซมทั้งสองคนต่างก็คิดว่า อีกคนคือ มนุษย์โคลน ที่ถูกโคลนนิ่งมาจากตัวเขาเอง ในขณะที่ร่างกายของแซม(๑) ซึ่งถูกช่วยมาจากอุบัติเหตุ กำลังทรุดโทรมลงเรื่อยๆ แซม(๒)ก็เริ่มสงสัยว่า ทั้งคู่อาจเป็นโคลนก็ได้ และ น่าจะมีร่างโคลนซ่อนอยู่ในฐานฯอีกเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่เช่นนั้น เมื่อแซม(๑)ประสบอุบัติเหตุ ทำไมจึงสามารถส่งแซม(๒)มาถึงได้อย่างรวดเร็วผิดปกติ แต่แซม(๑)ยังไม่เชื่อเช่นนั้น

     แซม(๒) เล่าให้แซม(๑)ฟังว่า เขาแอบได้ยินเกอร์ตี้พูดโต้ตอบกันในทันทีกับผู้บริหารฯ ทั้งสองคนจึงตกลงที่จะช่วยกัน ค้นหาความจริงในเรื่องนี้ ทั้งคู่ขับรถออกไปคนละทาง ไปจนไกลกว่าที่เคยไปทุกครั้ง จนกระทั่งได้พบกับเสาที่ใช้ตัดสัญญาณสื่อสาร ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถพูดโต้ตอบกับคนบนโลกโดยตรงได้ ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่า ถูกบริษัทฯหลอกมาโดยตลอด ในเวลานั้นเอง แซม(๑)รู้สึกไม่สบายมาก จึงรีบกลับฐานฯก่อน

     แซม(๑) มีร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกวัน ในขณะที่เขากำลังบันทึกเทปตามปกติ ก็มีภาพของคนที่หน้าตาเหมือนเขาอีกคน โผล่แว็บขึ้นมาบนจอภาพเพียงชั่วครู่ เขาจึงพยายามป้อนรหัสผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อเปิดดูเทปเก่าๆของคนที่เคยอยู่ก่อนหน้าเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ ทันใดนั้นเอง เกอร์ตี้ ก็เข้ามาป้อนรหัสผ่านที่ถูกต้องให้ ทำให้แซม(๑)ได้เห็นว่า ทุกคนที่อยู่ฐานฯมาก่อนหน้าเขา ล้วนมีหน้าตาเหมือนเขาทุกคน แถมทุกคนยังดูเหมือนคนป่วยหนัก ก่อนที่จะลงไปนอนในยานสำหรับส่งตัวกลับไปยังโลก ซึ่งที่จริงแล้วมันคือ โลงศพ สำหรับสลายร่างโคลนที่หมดอายุแล้ว สัญญาจ้างงาน ๓ ปี ที่แท้ก็คือ อายุการใช้งานของโคลนนั่นเอง

     เกอร์ตี้ ยังได้เปิดเผยความจริงเพิ่มเติมอีกว่า แซมทั้งสองคนต่างก็เป็นโคลน ที่ถูกปลูกถ่ายความทรงจำ ให้เหมือนกับแซมตัวจริงทุกอย่าง เพื่อที่จะใช้ทำงานบนดวงจันทร์เท่านั้น โดยทุกๆ ๓ ปี เกอร์ตี้ จะต้องปลุกโคลนใหม่ขึ้นมาทำงานแทนโคลนเก่าที่หมดอายุลง แซม(๑)จึงค้นหาที่ซ่อนร่างโคลนทั้งหมด จนได้พบห้องลับขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านล่างใต้โลงศพ และ เมื่อแซม(๒)กลับมาถึงฐานฯ แซม(๑)ก็ได้เล่าความจริงที่เพิ่งค้นพบให้ฟัง แล้วพากันลงไปดูห้องลับ ทั่งคู่พบกับร่างโคลนจำนวนมากมาย ที่ยังอยู่ในสภาพจำศีล

     ความจริงที่ได้รับรู้ ทำให้แซม(๑) ซึ่งก็คือ แซม(๕) หรือ โคลนหมายเลข ๕ รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ผิดหวัง และ เสียใจอย่างที่สุด เขาขับรถออกไปนอกระยะของเสาที่ใช้ตัดสัญญาณสื่อสาร แล้วติดต่อไปยังบ้าน ที่เขาเคยคิดว่าจะได้กลับไป เขาได้คุยแบบเห็นหน้ากับลูกสาววัย ๑๕ ปี ที่ยังอาศัยอยู่กับแซมตัวจริง จึงได้รู้ว่า ภรรยาของแซม คนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดนั้น ได้ตายไปแล้ว และ เมื่อแซม(๕)กลับมายังฐานฯแล้ว แซม(๒) ซึ่งก็คือ แซม(๖) หรือ โคลนหมายเลข ๖ ก็ได้แอบเปิดดูวีดีโอบันทึกการสนทนานั้น จึงได้รู้ความจริงเช่นกัน

     ในขณะที่ ทีมกู้ภัย กำลังใกล้จะมาถึง แซมทั้งสองรู้ตัวดีว่า ไม่ปลอดภัยแน่ ถ้าทีมกู้ภัยมาเห็นทั้งคู่มีชีวิตอยู่พร้อมกัน แซม(๖)จึงขอร้องให้เกอร์ตี้ ปลุกโคลนใหม่ขึ้นมาอีก ๑ คน โดยวางแผนให้แซม(๕)เข้าไปซ่อนในยานขนส่งฮีเลี่ยม-๓ เพื่อจะได้กลับสู่โลก แล้วค่อยจัดการเอาแซม(๗) ใส่เข้าไปในโลงศพแทน แต่แซม(๕)รู้ตัวดีว่า จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงขอให้แซม(๖)เปลี่ยนแผน โดยให้พาแซม(๕)ไปทิ้งไว้ที่เดิม ที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วแซม(๖)ค่อยเข้าไปซ่อนในยานขนส่งฯแทน

     ก่อนที่แซม(๖)จะออกเดินทางสู่โลก เกอร์ตี้ได้บอกให้แซม(๖)ทำการรีเซ็ทเครื่อง เพื่อลบหน่วยความจำของเกอร์ตี้
ทีมกู้ภัยก็จะไม่สามารถดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ นอกจากนั้น แซม(๖)ยังได้เปลี่ยนเส้นทางของเครื่องเก็บเกี่ยว ให้พุ่งเข้าชนเสาที่ใช้ตัดสัญญาณสื่อสาร เพื่อที่แซม(๗)จะได้สามารถติดต่อกับคนบนโลกได้ทันที และ เมื่อแซม(๖)เดินทางไปถึงโลก เขาก็ได้เปิดโปงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ให้ชาวโลกได้รับรู้

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี แต่สำหรับเครื่องเล่นบางรุ่น อาจต้องใส่แผ่นหลายรอบจึงจะเล่นได้

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Alice in Wonderland (Disney)



แนวหนัง : จินตนาการ ผจญภัย

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เด็กหญิง อลิซ เล่าความฝันของเธอให้พ่อฟังว่า เธอได้ตามกระต่ายขาวใส่เสื้อกั๊ก ไปยังดินแดนมหัศจรรย์ ที่นั่นมี...ต้นไม้แปลกๆ หนอนผีเสื้อสีน้ำเงิน แมวยิ้ม สัตว์ต่างๆล้วนพูดได้ เธอถามพ่อว่า "เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม" พ่อของเธอตอบว่า "ใช่ แต่...คนที่เก่งมากๆเขาก็บ้ากันทั้งนั้นแหละ"

     ๑๓ ปีผ่านไป อลิซ ในวัย ๑๙ ปี ต้องไปงานเลี้ยงในสวนกับแม่ (พ่อของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว) ซึ่งที่จริงแล้ว มันเป็นแผนที่จะให้ท่านลอร์ดคู่ควงของเธอ ขอแต่งงานต่อหน้าคนในวงสังคมชั้นสูง แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่า ควรจะตอบตกลงหรือไม่ เธอจึงวิ่งไล่ตามกระต่ายใส่เสื้อกั๊กไป จนตกลงไปในโพรงใต้ต้นไม้ มันเป็นโพรงที่ยาวมาก

     อลิซ ตกลงไปจนถึงห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ซึ่งมีประตูอยู่หลายบาน เธอพยายามเปิดประตูทีละบาน แต่ก็เปิดไม่ออก เธอเห็นกุญแจดอกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ซึ่งใช้เปิดได้เฉพาะประตูบานเล็กที่สุด แต่มันก็เล็กเกินกว่าที่จะมุดออกไปได้ เธอจึงดื่มน้ำจากขวดที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำให้ร่างกายหดเล็กลง แต่เธอวางกุญแจไว้บนโต๊ะ ซึ่งอยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง พลันเหลือบไปเห็นกล่องใบหนึ่ง ภายในนั้นมีขนมเค้กหนึ่งก้อน เธอกินขนมเค้ก ทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจนชนเพดาน เธอจึงหยิบกุญแจ และ ดื่มน้ำจากขวดเดิมอีกครั้ง จึงสามารถผ่านประตูออกไปจากห้องนั้นได้

     ด้านนอกของประตูนั้น คือ ดินแดนมหัศจรรย์ ที่สวยงามแปลกตา มีต้นไม้ ดอกไม้แปลกๆมากมาย อลิซ ได้พบกับ กระต่ายใส่เสื้อกั๊ก เด็กอ้วนคู่แฝด หนูจิ๋วสีขาวถือดาบ นกโดโด้ ซึ่งกำลังถกเถียงกันอยู่ว่า เธอใช่อลิซคนนั้นหรือเปล่า ทั้งหมดจึงพาอลิซไปพบ แอ๊บโซเล็ม หนอนผีเสื้อสีน้ำเงินที่ชอบสูบไปป์ แอ๊บโซเล็ม บอกว่า "ยากที่จะใช่อลิซ" ทำให้ใครๆพากันเข้าใจว่า เธอไม่ใช่อลิซ
ในคำทำนายคนนั้น

     ทันใดนั้นเอง เหล่าทหารไพ่ของราชินีแดงซึ่งนำโดยเจ้าชายแจ๊ค ก็จู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกชีวิตต่างหนีเอาตัวรอด หลายตัวถูกจับไป ส่วนอลิซก็ถูกไล่ล่าโดย แบนเดอร์สแน็ทช์ สัตว์ขนาดใหญ่ขนสีขาวจุดดำ ที่มีเขี้ยวเล็บน่ากลัว หนูจิ๋วจึงช่วยอลิซ โดยใช้ดาบแทงตาขวาของมัน แล้วดึงหลุดออกไป แต่อลิซก็ถูกข่วนที่แขนขวา

     เมื่อ อลิซ หนีต่อไปได้ระยะหนึ่ง เธอก็พบกับ แมวยิ้ม ซึ่งสามารถเหาะ และ ล่องหนได้ แมวยิ้มได้พาเธอไปพบกับ แมดแฮ็ตเตอร์ ช่างทำหมวกของราชินีขาว กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับ กระต่ายเพี้ยน ช่างทำหมวกจำอลิซได้ในทันที จึงให้เธอดื่มน้ำที่ทำให้ร่างกายหดเล็กลงอีก จนสามารถเข้าไปซ่อนอยู่ในกาน้ำชาได้ เจ้าชายแจ๊คกับทหารไพ่จึงหาอลิซไม่เจอ

     ช่างทำหมวกรีบพาอลิซ เดินทางมุ่งหน้าไปยังวังของราชินีขาว ระหว่างทาง เขาได้เล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังว่า ราชินีแดงใช้มังกรจู่โจมแบบสายฟ้าแล็บ ยึดอำนาจราชินีขาวไปโดยไม่ทันตั้งตัว และ เอาดาบปราบมังกรไปซ่อนไว้ หลังจากเล่าเรื่องในอดีตจบแล้ว ช่างทำหมวกก็มองเห็นว่า เหล่าทหารไพ่ของราชินีแดงใกล้เข้ามาเต็มที จึงให้อลิซเกาะหมวกของเขาไว้ แล้วขว้างออกไปไกลสุดแรง เธอจึงรอดมาได้ โดยที่ช่างทำหมวกถูกจับตัวไปแทน เวลานั้นใกล้ค่ำแล้ว อลิซจึงนอนพักผ่อนอยู่ในหมวกทั้งคืน

     เช้าวันรุ่งขึ้น เบยาร์ด สุนัขพูดได้ ซึ่งต้องทำตามคำสั่งของเจ้าชายแจ๊ค ที่จับครอบครัวของเบยาร์ดไว้เป็นตัวประกัน ได้ตามกลิ่นมาจนเจออลิซ แต่เบยาร์ดนั้นยังจงรักภักดีต่อราชินีขาว จึงยอมทำตามที่อลิซขอร้อง ให้พาเธอไปส่งที่ปราสาทของราชินีแดง เพื่อช่วยช่างทำหมวก


     อลิซ แอบเข้าไปในปราสาทของราชินีแดง จนได้พบกับกระต่ายใส่เสื้อกั๊ก เธอขอขนมเค้กที่ทำให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจากกระต่าย แต่เธอกินไปหลายคำ ทำให้ร่างกายของเธอ
ขยายขนาดใหญ่กว่าปกติ เธอจึงหลอกราชินีแดงว่า เธอชื่อ อัม ถูกขับไล่ออกมาจากเมืองที่เคยอยู่ เพราะตัวใหญ่ผิดปกติ ราชินีแดงซึ่งมีศรีษะใหญ่โตผิดปกติ จึงยินดีต้อนรับเธอเข้าไปอยู่ในปราสาท

     เมื่อ อลิซ ได้เป็นแขกของราชินีแดง เธอจึงแอบค้นหาดาบปราบมังกร ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆที่ถูกจับมาก่อน เธอจึงจบพบที่ซ่อนดาบ ซึ่งมีแบนเดอร์สแน็ทช์เฝ้าอยู่ เธอจึงไปหาหนูจิ๋ว เพื่อเอาลูกตามาคืนให้มัน แล้วจึงหยิบดาบไปได้

     ในขณะที่อลิซกำลังจะช่วยช่างทำหมวก เจ้าชายแจ๊คมาพบเข้าพอดี จึงเกิดการต่อสู้ ช่างทำหมวกถ่วงเวลาไว้ เพื่อให้อลิซหนีออกไป แบนเดอร์สแน็ทช์ให้อลิซขึ้นขี่หลัง แล้วพาเธอลุยฝ่าทหารไพ่หนีออกไป โดยให้เบยาร์ดซึ่งรออยู่ด้านนอกปราสาท วิ่งนำไปจนถึงวังของราชินีขาว ซึ่งราชินีขาวก็ได้ปรุงยาให้อลิซดื่ม ทำให้ร่างกายของเธอกลับสู่ขนาดปกติ หลังจากนั้นไม่นานมากนัก ช่างทำหมวก และ เพื่อนๆที่ถูกจับ ก็หนีรอดออกมาได้เช่นกัน ด้วยความช่วยเหลือของแมวยิ้ม บวกกับไหวพริบของเขาเอง ทั้งหมดจึงได้ตามมาสมทบที่วังฯ

     พรุ่งนี้ก็จะถึงวันศึกมหัศจรรย์ อลิซ ยังไม่แน่ใจว่า จะยอมเป็นอัศวินเพื่อต่อสู้กับมังกร ตามคำทำนายหรือไม่ เธอจึงได้ปรึกษาแอ๊บโซเล็ม แอ๊บโซเล็มเตือนความทรงจำให้เธอ ระลึกถึงตอนที่มายัง Underland (ดินแดนใต้พิภพ) ครั้งแรกเมื่อ ๑๓ ปีก่อน ในตอนนั้นเธอเข้าใจผิด จึงได้เรียกที่นี่ว่า "Wonderland" (ดินแดนมหัศจรรย์) ทำให้อลิซจำได้ว่า เธอเคยมาที่นี่จริงๆ ไม่ใช่แค่ฝันไป จึงเป็นการปลุกความกล้าหาญในตัวเธอขึ้นมาอีกครั้ง

     และแล้ว...วันศึกมหัศจรรย์ก็มาถึง อลิซ ใช้ดาบปราบมังกร เข้าต่อสู้กับ แจ๊บเบอร์วอคกี้ (มังกรสายฟ้าฟาดของราชินีแดง) ในขณะที่ ช่างทำหมวก นำกองทัพหมากรุกของราชินีขาว เข้าปะทะกับ กองทัพไพ่ของราชินีแดง ที่นำโดยเจ้าชายแจ๊ค การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จนในที่สุด อลิซ ก็สามารถตัดหัวมังกรได้ กองทัพไพ่จึงยอมแพ้ และ ไม่ยอมทำตามคำสั่งของราชินีแดงอีกต่อไป

     ราชินีขาว จึงได้สั่งเนรเทศราชินีแดง ไปพร้อมกับเจ้าชายแจ๊ค และ ได้นำเลือดมังกร มาให้อลิซดื่ม เพื่อจะได้กลับบ้าน ช่างทำหมวกบอกให้เธออยู่ต่อ แต่อลิซได้ตัดสินใจที่จะกลับไป โดยรับปากว่า จะกลับมาที่นี่อีก เมื่ออลิซกลับไปยังงานเลี้ยง เธอปฏิเสธคำขอแต่งงาน และ ตัดสินใจฝึกงานในบริษัทที่เคยเป็นของพ่อเธอ เพื่อสานต่อสิ่งที่พ่อเคยตั้งใจจะทำ โดยตั้งใจที่จะทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเธอนั่นเอง

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย MVD ภาพคมชัด เสียงดี แต่สำหรับเครื่องเล่นบางรุ่น อาจต้องใส่แผ่นหลายรอบจึงจะเล่นได้

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Kick-Ass



แนวหนัง : บู๊ ๑๘+ (ดุเดือด โหดร้าย ทารุณ)

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     เดฟ นักเรียนชายอายุ ๑๗ ปี ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนฮีโร่ ชอบดูหนังเกี่ยวกับฮีโร่ เขามักตั้งคำถามกับตัวเอง และ เพื่อนสนิทอีก ๒ คน อยู่บ่อยๆว่า ทำไมจึงไม่มีใครคิดจะทำตัวเป็นฮีโร่ คอยช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนอย่างในหนัง หรือ หนังสือการ์ตูนบ้าง? คนธรรมดาทั่วๆไปที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรอย่างเขา ก็น่าจะเป็นฮีโร่ได้ เพียงแค่ไม่ยอมนิ่งดูดาย เวลาที่เห็นคนอื่นถูกทำร้าย เมื่อเห็นใครถูกรังแก ก็
รีบเข้าไปช่วย ก็แค่นั้นเอง แม้กระทั่งตัวเขาเอง เวลาถูกจิ๊กโก๋มาไถเงิน และ ทรัพย์สินอื่นๆ ก็ได้แต่ยอมให้ไปโดยดี

     ที่ผ่านมา เดฟ ก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยตามประสาวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีสาระไปวันๆ เวลาว่างก็เล่น Internet คุยกับเพื่อนบ้าง ดูรูปโป๊พร้อมกับช่วยตัวเองไปด้วยก็บ่อย จนมาวันหนึ่ง สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับ ชุดของซุปเปอร์ฮีโร่ที่ประกาศขายทาง Internet มันเป็นชุดรัดรูปคล้ายชุดดำน้ำสีเขียวแถบเหลือง เขาจึงรีบสั่งซื้อในทันที หลังจากได้ชุดนั้นมา เขาก็รีบลองใส่ และ พยายามฝึกท่าทางเลียนแบบฮีโร่ต่างๆ

     จนกระทั่งวันหนึ่ง เดฟ เดินไปเห็นจิ๊กโก๋ ๒ คน กำลังจะขโมยรถคันหนึ่งในลานจอดรถ เขาถูกจิ๊กโก๋ไล่ตะเพิดจนต้องรีบเดินหนีไปตามเคย แต่พอเดินไปได้นิดเดียวเขาก็ตั้งสติได้ จึงรีบเปลี่ยนชุด แล้วเข้าไปขัดขวางการขโมยจนเกิดการต่อสู้กัน ผลก็คือ เขาถูกแทงเข้าที่ท้อง ขโมยจึงรีบหนีไป หลังจากนั้น เขาก็ถูกรถชนจนกระเด็น อาการสาหัส เขาขอร้องเจ้าหน้าที่ในรถพยาบาล ไม่ให้บอกใครเรื่องชุดฮีโร่ของเขา เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เขามีอาการปลายประสาทด้านชา ไม่ค่อยมีความรู้สึกเจ็บปวด แถมหมอยังต้องฝังท่อนเหล็กให้เขาเกือบทั้งตัว เพราะกระดูกหักหลายแห่ง

     หลายวันผ่านไป เดฟ ได้ออกจากโรงพยาบาล กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม เขารู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ หลังเลิกเรียน ถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อนสาวร่วมห้องเรียนที่เขาแอบหลงรัก (แต่เธอกลับคิดว่าเขาเป็นเกย์) เขาก็จะใส่ชุดฮีโร่เดินไปตามถนน เฝ้ารอที่จะได้ช่วยเหลือผู้อื่น

     ในขณะที่ เดฟ กำลังช่วยตามหาแมวหายตามใบประกาศ เขาก็สะดุดขาของชายคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งหนีใครมาจนล้มลงทั้งคู่ แล้วชายคนนั้นก็ถูกรุมทำร้าย โดยผู้ชายตัวใหญ่หลายคน เดฟจึงรีบเข้าช่วยต่อสู้กับคนร้ายเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีฝีมือ ในการต่อสู้มาก่อนเลยก็ตาม ระหว่างนั้น มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นเข้าพอดี แทนที่จะแจ้งตำรวจ ชายคนนั้นกลับไปเรียกให้คนอื่นๆมามุงดู พร้อมกับถ่ายวีดีโอคลิปและโหลดลง Internet ทันที จนกระทั่งคนร้ายเห็นว่า เดฟสู้เพื่อคนอื่นโดยไม่ยอมแพ้ อีกทั้งได้ยินเสียงหวอรถตำรวจพอดี จึงรีบพากันหนีไป

     คลิปเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ Kick-Ass ("แตะก้น" ฉายาที่เดฟตั้งขึ้นมาเอง) กลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่โด่งดังไปทั่ว ทั้งทาง Internet และ ทางโทรทัศน์ แม้แต่เพื่อนสาวที่เดฟแอบหลงรัก ก็พลอยปลื้ม Kick-Ass ไปด้วย เธอบอกเดฟว่า เธอเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ที่ติดยาเสพติด ให้สามารถเลิกเสพได้ มีพ่อค้ายาเสพติดคนหนึ่งตามตื๊อ และ ทำร้ายเธอ เธออยากให้ Kick-Ass ช่วยบอกให้เขาเลิกยุ่งกับเธอ

     Kick-Ass จึงไปเตือนพ่อค้ายาเสพติดคนนั้น แต่เขาเกือบจะถูกฆ่าตายเสียเอง ถ้าไม่ได้เด็กสาววัย ๑๑ ขวบ ฉายา Hit Girl กับ Big Daddy พ่อของเธอ ช่วยเอาไว้ โดยจัดการฆ่าพ่อค้ายาฯกับเหล่าลูกน้องอย่างโหดร้าย ซึ่งเดฟก็รับปาก
พ่อลูกคู่นี้ว่า จะไม่บอกเรื่องของทั้งสองคนให้ใครรู้เด็ดขาด

     Big Daddy หรือ เดม่อน คือ อดีตนายตำรวจยอดมือปราบ เมื่อ ๑๑ ปีก่อน เขาถูก แฟรงค์ พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ใส่ร้ายว่า เขาค้ายาเสพติด เขาจึงต้องติดคุก ทำให้ภรรยาท้องแก่ของเขากินยาฆ่าตัวตาย แต่ยังดีที่หมอช่วยมินดี้ลูกสาวในท้องเอาไว้ได้ เพื่อนตำรวจอดีตคู่หูของเขาช่วยรับมินดี้ไปเลี้ยงแทนเขา ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาคิดแต่เรื่องแก้แค้น ห้าปีต่อมาเขาพ้นโทษออกมารับมินดี้ไปอยู่ด้วยกัน และ ได้ฝึกฝนมินดี้ให้พร้อมสำหรับการแก้แค้น โดยใช้ฉายาว่า Hit Girl

     แฟรงค์ กำลังโกรธแค้น ที่ยาเสพติดของเขาหายไปเป็นจำนวนมาก ลูกสมุนก็ถูกฆ่าตาย เขาคิดว่า เป็นฝีมือของ Kick-Ass จนถึงขั้นฆ่าเด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวเลียนแบบ Kick-Ass ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวจริง คริส ลูกชายของเขาจึงเสนอวิธีล่อ Kick-Ass ออกมาให้จับ โดยให้คริสแต่งตัวเป็นฮีโร่คนใหม่ชื่อ Red Mist (หมอกแดง) และ แจ้งตำรวจจับพ่อค้ายาเสพติดคนหนึ่งที่ทำงานกับพ่อเขา จนได้เป็นข่าวโด่งดังแซงหน้า Kick-Ass จากนั้นเขาก็ส่ง E-mail นัดพบ Kick-Ass

     เมื่อได้พบกัน Red Mist พา Kick-Ass นั่งรถคันหรูไปยังโรงไม้ของแฟรงค์ แต่โรงไม้กำลังถูกไฟไหม้อย่างหนัก Red Mist รีบเข้าไปดู เพราะคิดว่าพ่อของเขาอาจอยู่ในนั้่น Kick-Ass จำต้องตามเข้าไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถช่วยใครได้ เพราะทุกคนที่อยู่ในนั้นถูกฆ่าตายหมดแล้ว Red Mist หยิบตุ๊กตาหมี แล้วพา Kick-Ass ออกมาก่อนระเบิด

     Red Mist เอากล้องวีดีโอที่ซ่อนอยู่ในตุ๊กตาหมีไปเปิดให้พ่อดู จึงรู้ว่า ที่แท้ก็เป็นฝีมือของ Big Daddy ไม่ใช่ Kick-Ass จึงร่วมกันวางแผนหลอกให้ Kick-Ass เรียก Big Daddy ออกมา เมื่อ Kick-Ass ติดต่อกับ Big Daddy จึงได้นัดพบกันที่เซฟเฮ้าส์ของ Big Daddy เมื่อไปถึง Red Mist ก็ยิง
Hit Girl ตกหน้าต่างไป ส่วน Big Daddy กับ Kick-Ass ก็ถูกจับตัวไป

     มีข่าวออกโทรทัศน์ว่า กำลังจะมีการเปิดหน้ากากของ Kick-Ass ทาง Internet แต่ภาพที่ทุกคนเห็น กลับกลายเป็นการรุมทำร้าย Kick-Ass กับ Big Daddy อย่างทารุณ จนต้องยุติการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เหลือแต่ทาง Internet ทันใดนั้นภาพก็มืดลง มีเพียงเสียงของการต่อสู้ในความมืด Hit Girl กำลังต่อสู้ตามยุทธวิธีที่พ่อสอนไว้อย่างดุเดือด Big Daddy ก็ส่งเสียงกำกับการต่อสู้
ไปด้วย ในขณะที่กำลังถูกไฟเผาทั้งเป็น Hit Girl ได้ฆ่าลูกสมุนของแฟรงค์ที่อยู่ในนั้นทั้งหมด และ ช่วยเดฟเอาไว้ได้ แต่ไม่สามารถช่วยพ่อของเธอได้ทัน

     มินดี้ขับรถพาเดฟไปที่บ้านของเธอ เพื่อเตรียมอาวุธสำหรับการแก้แค้นครั้งสุดท้าย แม้ว่าเดฟจะพยายามห้ามมินดี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ มินดี้จึงขอให้เดฟช่วยเธอสานต่อสิ่งที่พ่อวางแผนไว้ เธอบอกให้เดฟ รีบอ่านคู่มือการใช้ Jet Pack อาวุธชนิดใหม่ที่เพิ่งสั่งซื้อมา ในขณะที่เธอบุกตะลุยเข้าไปในตึกที่แฟรงค์กับลูกอาศัยอยู่

     Hit Girl ฆ่าลูกสมุนของแฟรงค์จนเกือบหมด เมื่อใช้อาวุธที่เตรียมมาจนหมดเกลี้ยง เธอจึงต้องซ่อนตัว ในขณะที่ลูกสมุนของแฟรงค์ที่ยังเหลือ เตรียมยิงบาซูก้าใส่เธอ Kick-Ass ในชุด Jet Pack ก็เหาะขึ้นมาอยู่ด้านนอกของผนังกระจก แล้วกระหน่ำยิงปืนกลที่ติดมากับ Jet Pack จนลูกสมุนของแฟรงค์ตายหมด Hit Girl กับ Kick-Ass ก็บุกเข้าไปในห้องทำงานของแฟรงค์

     การจับคู่ต่อสู้กันระหว่าง Kick-Ass กับ Red Mist นั้นสูสีกัน จนสลบไปทั้งคู่ ส่วน Hit Girl กับ แฟรงค์ นั้น แม้ Hit Girl จะสามารถสร้างบาดแผลให้กับแฟรงค์ได้มากมาย แต่ด้วยขนาดของร่างกายบวกกับความแข็งแรง ทำให้ Hit Girl ที่ไร้อาวุธ ต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ในขณะที่ Hit Girl กำลังจะถูกแฟรงค์ยิง Kick-Ass ก็ฟื้นขึ้นมา พร้อมกับหยิบบาซูก้าขึ้นมายิงใส่แฟรงค์ จนกระเด็นออกไประเบิดกลางอากาศ

     เมื่อการแก้แค้นสิ้นสุดลง มินดี้จึงได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กสาวทั่วไปอีกครั้ง เธอได้อยู่ในอุปการะของนายตำรวจ อดีตคู่หูของพ่อที่เคยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่แรกเกิด เธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับเดฟ ซึ่งสัญญาว่า จะดูแลเธออย่างดี แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่า ใครจะต้องดูแลใครกันแน่

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ ค่าย UNITED ภาพคมชัด เสียงดี

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Departures



แนวหนัง (ญี่ปุ่น) : ชีวิต (แฝงสัจธรรม) เพลง

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     ไดโกะ ชายหนุ่มวัย ๓๖ ปี ได้ย้ายจากเมืองหลวงมาอยู่ในชนบท และ ทำงานเป็นพนักงานบริษัทรับทำศพมาได้ ๒ เดือนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำใจให้ชินกับงานที่ทำอยู่ได้สักที ในขณะที่เขากำลังเช็ดทำความสะอาดร่างกายของผู้ตาย ที่มีใบหน้าสวยงามรายหนึ่ง เขาก็ต้องสะดุดกับ อะไรบางอย่างบนร่างกายของสาวสวย เขาจึงได้รู้ว่า ผู้ตายไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างที่เขาเคยคิด

     ย้อนกลับไปเมื่อ ๒ เดือนก่อนหน้านี้ ไดโกะ เคยมีอาชีพเป็นนักดนตรี เล่นเชลโล่อยู่ในวงออเคสตร้าวงหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะถูกยุบวงไป แม้จะเป็นงานที่เขารัก แต่เขาก็รู้ตัวดีว่า ด้วยฝีมือการเล่นเชลโล่ที่ไม่ได้โดดเด่นมากนัก เขาคงจะหางานแบบเดิมในเมืองหลวงไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงพา มิกะ ภรรยาของเขาซึ่งเป็นนักออกแบบเว็บไซด์ ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิดของเขาในชนบท ซึ่งแม่ของเขาทิ้งไว้ให้ หลังเสียชีวิตเมื่อ ๒ ปีก่อน

     ไดโกะ (หรือ ไดจัง) เห็นประกาศรับสมัครงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือในการเดินทาง เขาคิดว่า คงเป็นงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว (ไกด์) จึงโทร.ไปสมัคร และ ไปตามนัดสัมภาษณ์ พอไปถึงบริษัทNK (ย่อมาจาก โนคัง) เขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะประธานบริษัทฯพูดกับเขาแค่ไม่กี่ประโยค ก็บอกรับเขาเข้าทำงานแล้ว โดยให้เงินเดือนเริ่มต้นถึงห้าแสนเยน แถมยังให้เงินล่วงหน้าแก่เขาอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลย นอกจากนั้นงานที่ว่า ยังเป็นงานทำศพ (โนคัง) อีก เขาจึงกลับบ้านไป โดยไม่กล้าบอกมิกะว่าเขาทำงานอะไร

     วันรุ่งขึ้น ไดโกะได้รับคำสั่งจากท่านประธาน ให้ไปยังสตูดิโอถ่ายหนังแห่งหนึ่ง โดยให้เขาเป็นนายแบบ (ศพ) สำหรับการถ่ายทำ DVD เพื่อการค้า และ ในวันถัดมา ท่านประธานก็พาเขาไปช่วยจัดการศพหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งนอนตายอยู่ในบ้านเพียงลำพังมา ๒ สัปดาห์แล้ว นั่น...เป็นครั้งแรก ที่เขาได้เห็นคนตายจริงๆ หนำซ้ำศพยังอยู่ในสภาพที่ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนเขาไม่สามารถทนได้อีกด้วย ทำให้เขาไม่อยากทำงานนี้อีกต่อไป

     ระหว่างเดินทางกลับบ้าน กลุ่มเด็กนักเรียนสาวที่อยู่บนรถเมล์คันเดียวกัน แอบนินทากันว่า ตัวของไดโกะมีกลิ่นเหม็น เขาจึงรีบลงจากรถ และ เข้าไปยังโรงอาบน้ำเก่าแก่ ที่เขาเคยมากับพ่อแม่บ่อยๆในสมัยเด็ก เขาได้พบกับคุณลุงลูกค้าขาประจำ หลังจากอาบและแช่น้ำร้อนอย่างสบายใจแล้ว เขาก็ได้พบกับคุณป้าเจ้าของโรงอาบน้ำ ซึ่งกำลังถกเถียงกับลูกชายที่บอกให้ขายโรงอาบน้ำไปเสีย ทั้งสองคนจำไดจังได้ จึงทักทายเขาตามประสาคนคุ้นเคยที่ไม่ได้พบกันมานาน คุณป้ายังบอกให้เขาพาภรรยาไปโรงอาบน้ำบ้าง จะได้รู้จักกัน ซึ่งเขาก็ได้พามิกะไปแนะนำให้คุณป้ารู้จัก และ ทำความคุ้นเคยกันในภายหลัง

     ในคืนเดียวกันนั้น ไดโกะเกิดความรู้สึกอยากเล่นเชลโล่อีก เขาจึงค้นหาเชลโล่ตัวเก่าที่พ่อของเขาเคยซื้อให้ มันเป็นเชลโล่ขนาดเล็กสำหรับเด็กตัวแรกที่เขาใช้หัดเล่น นั่นทำให้เขาได้พบหินก้อนหนึ่งซึ่งเก็บไว้ด้วยกัน ก้อนหินที่พ่อเคยให้เขาเอาไว้ มันทำให้เขานึกถึงสมัยที่เขายังเด็ก วันที่เขากับพ่อเก็บก้อนหินริมลำธารมาแลกกัน แต่เขาจำใบหน้าของพ่อไม่ได้ เพราะพ่อได้ทิ้งเขากับแม่ หนีตามสาวเสริฟในบาร์ของพ่อไป ตั้งแต่เขาอายุเพียง ๖ ขวบ เหลือเพียงความทรงจำอันเจ็บปวด ที่ยังคงอยู่ในใจของเขาตลอดมา

     วันต่อมา ขณะที่ไดโกะกำลังยืนอยู่บนสะพาน มองดูปลาแซลม่อนว่ายทวนกระแสน้ำ เพื่อขึ้นไปวางไข่ยังแหล่งกำเนิด ก่อนจะต้องจบชีวิตลง เขาก็ได้ยินเสียงเรียกของท่านประธาน บอกให้เขาขึ้นรถไปด้วย เขาขึ้นรถไปอย่างไม่เต็มใจนัก เมื่อไปถึงบ้านที่จะต้องทำศพ พวกเขาก็ถูกสามีของผู้ตายต่อว่าที่ไปถึงช้า และพูดจาดูถูกว่า หากินกับคนตาย ท่านประธานกล่าวขอโทษ แล้วรีบจึงเข้าไปทำศพอย่างปราณีตบรรจง โดยมีไดโกะนั่งดูอยู่ข้างๆ ท่านประธานได้แต่งหน้าหญิงผู้ตายให้ดูสวยงาม สดใส ราวกับยังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะบรรจุลงในโลงศพ เมื่อเสร็จงานแล้ว สามีของผู้ตายกล่าวขอโทษท่านประธานกับไดโกะ ที่พูดไม่ไดีในตอนแรก และยังบอกอีกว่า เขาไม่เคยเห็นภรรยาของเขาสวยขนาดนี้มาก่อนเลย

       นั่นเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ไดโกะเริ่มเห็นคุณค่าของการเป็นโนคัง

     แต่ในระหว่างเดินกลับบ้าน  ไดโกะได้พบกับเพื่อนเก่า (ลูกเจ้าของโรงอาบน้ำ) กับภรรยาและลูกสาวของเขา เขาแสดงท่าทีเมินเฉยต่อไดโกะ แถมยังบอกให้เขาหางานอื่นทำ และเมื่อเขากลับถึงบ้าน ก็พบว่า มิกะกำลังนั่งดู DVD ที่เขาเคยเป็นนายแบบให้ท่านประธานแสดงการทำศพ เธอจึงขอร้องให้เขาเลิกทำงานนี้ เพราะรู้สึกอับอายที่สามีทำอาชีพต่ำต้อย น่ารังเกียจ ไม่มีใครอยากทำ แต่ไดโกะไม่ยอมเลิก มิกะจึงจากไป


     ไดโกะย้ายมาอยู่บ้านเกิดได้ ๒ เดือนแล้ว เขาผ่านการทำงานเป็นโนคังมาหลายงาน ได้พบเห็นญาติผู้ตายจำนวนมาก ที่มีอารมณ์หลากหลายแตกต่างกันไป บ้างก็เอาแต่โศกเศร้าเสียใจ บ้างก็ทำใจได้ บ้างก็ยิ้มก่อนกล่าวคำอำลาผู้ตาย หลังเสร็จจากงานแต่ละครั้ง ไดโกะชอบที่จะปลดปล่อยอารมณ์ ด้วยการนั่งเล่นเชลโล่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามของชนบท

     แล้วในวันหนึ่ง เมื่อไดโกะกลับมาถึงบ้านก็พบว่า มิกะได้กลับมารอเขาอยู่ในบ้านแล้ว เธอบอกเขาว่า เธอกำลังตั้งครรภ์ และ ยังขอร้องให้เขาเลิกอาชีพทำศพ เพื่อเห็นแก่อนาคตของลูกที่จะต้องอับอายที่มีพ่อเป็นโนคัง ในขณะที่เขากำลังพูดอะไรไม่ออก เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ เขาก็บอกกับเธอว่า คุณป้าเจ้าของโรงอาบน้ำเสียชีวิตแล้ว

     ในขณะที่ไดโกะกำลังทำศพคุณป้าที่โรงอาบน้ำ มิกะ และ ลูกชายของคุณป้า ต่างก็เฝ้ามองการทำงานของไดโกะ ที่ปราณีตบรรจง เปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อผู้ตาย เวลานี้เอง ทั้งสองคนที่เคยดูถูกงานโนคัง ก็เริ่มรู้สึกถึงคุณค่า และ เห็นความสำคัญของงานนี้

     ในวันเผาศพคุณป้า ไดโกะ ได้พบกับคุณลุงลูกค้าประจำของโรงอาบน้ำ คุณลุงซึ่งมีหน้าที่ในการเผาศพได้บอกกับ ลูกชายของคุณป้า และ ไดโกะ ว่า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด แต่เป็นการก้าวไปสู่อีกประตูหนึ่งเท่านั้น ยังมีโอกาสที่พวกเราจะได้พบกันอีก

     เสร็จจากพิธีเผาศพคุณป้า ไดโกะ และ มิกะ แวะชื่นชมธรรมชาติริมลำธาร ระหว่างทางกลับบ้าน ไดโกะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง วางบนมือของมิกะ แล้วเล่าว่า ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีภาษาสำหรับใช้ในการสื่อสารกัน มีการใช้ก้อนหินเพื่อเป็นสื่อบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อกัน ก้อนหินที่ผิวไม่เรียบ หมายถึง ผู้ให้กำลังห่วงใยผู้รับ ก้อนหินที่ผิวเรียบ หมายถึง ผู้ให้กำลังสบายดี พ่อของเขาเคยสอนไว้ ก่อนจะทิ้งเขากับแม่ไป

     ในวันหนึ่ง ขณะที่มิกะกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน เธอก็ได้รับจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงแม่ของไดโกะ เธอจึงเปิดอ่านดูจนรู้ว่า เป็นจดหมายแจ้งข่าวการตายของพ่อของไดโกะ เมื่อไดโกะรู้ข่าวนี้จากเพื่อนร่วมงาน (เพราะไดโกะลืมเอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย) เขารู้สึกสับสน โกรธแค้น และ ประหลาดใจ เพราะไม่เคยคิดว่า จะได้ข่าวจากพ่อของเขาอีก เขาปฏิเสธที่จะไปดูศพพ่อ แม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะขอร้องให้เขาไป เพราะเธอก็เคยหนีตามผู้ชาย โดยทอดทิ้งลูกไว้ที่เมืองอื่น เช่นเดียวกับพ่อของเขา

   แต่ในที่สุด ไดโกะก็เปลี่ยนใจ เขาจึงขับรถที่ท่านประธานให้ยืม พามิกะไปพบพ่อของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่เขากำลังทำศพพ่อด้วยความอาลัยยิ่ง เขาก็พบว่า มือของพ่อกำก้อนหินที่เขาเคยให้พ่อไว้เมื่อ ๓๐ ปีก่อน ทำให้เขารู้ว่า พ่อยังคงคิดถึงเขาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาได้วางหินก้อนนั้นลงบนมือของมิกะ แล้วกุมมือของมิกะไปไว้แนบท้องของเธอ เพื่อส่งต่อความรู้สึกไปยังลูกในท้อง เขาได้ทำหน้าที่ของลูกเป็นครั้งสุดท้าย และ เขาจะต้องทำหน้าของพ่อที่ดีต่อไป

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์มี ๒ ค่าย แมงป่อง ภาพคมชัด เสียงดี, CAP ภาพคมชัด เสียงดีมาก (DTS) แต่เล่นไม่ได้กับเครื่องเล่นบางรุ่น และ มีตัวหนังสือบรรยายภาษาอังกฤษแบบเลือกเอาออกไม่ได้ติดมาด้วย ทำให้ตัวหนังสือบรรยายไทยต้องขึ้นไปอยู่ด้านบน

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Where The Wild Things Are



แนวหนัง : ชีวิต จินตนาการ ผจญภัย

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ปานกลาง ถึง ค่อนข้างยาก

บรรยายเนื้อเรื่อง : อย่างค่อนข้างละเอียด (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     แม็กซ์ เด็กชายวัยซน(เก้าขวบ)ที่ต้องการเพื่อนเล่น พยายามเรียกร้องความสนใจจากพี่สาวและแม่ แต่ไม่สำเร็จ ชีวิตที่บ้านของแม็กซ์จึงมีแต่ความเหงา เพราะไม่มีใครเล่นกับแม็กซ์ แม็กซ์จึงต้องเล่นคนเดียวอยู่กับจินตนาการของตนเองเป็นประจำ พี่สาว สนใจแต่การไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แม่ สนใจแต่เรื่องงานกับแฟนใหม่

     จนกระทั่งวันหนึ่ง แม็กซ์พยายามเรียกร้องความสนใจจากแม่เช่นเคย แต่แม่กำลังมีความสุขในการคุยกับแฟนใหม่ จึงเกิดการทะเลาะกัน แม่เผลอลงมือทำร้ายแม็กซ์ด้วยอารมณ์โมโห ทำให้แม็กซ์วิ่งหนีออกจากบ้าน จนไปพบเรือใบเล็กๆลำหนึ่งจอดอยู่ริมท่าน้ำ แม็กซ์จึงล่องเรือออกไปไกลจนถูกคลื่นลมแรงซัดไปติดเกาะแห่งหนึ่ง

     บนเกาะนั้นมีเสียงเหมือนคนคุยกัน แม็กซ์แอบย่องเข้าไปดู เห็นสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า  บางตัวดูคล้ายแพะ บ้างดูคล้ายสุนัข บ้างคล้ายนก แต่ทุกตัวยืนสองขา กริยาท่าทางก็ดูคล้ายมนุษย์ ต่างกำลังถกเถียงกันอยู่ มีอยู่ตัวหนึ่งชื่อ แครอล กำลังทำลายบ้านทรงกลมของตัวอื่นๆอยู่ แม็กซ์เห็นท่าทางน่าสนุก จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยแครอลทำลายบ้าน ทำให้ทุกตัวหันมามองแม็กซ์ด้วยความประหลาดใจ เพราะต่างก็ไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน หลายตัวคิดจะกินแม็กซ์เป็นอาหาร แม็กซ์จึงร้องขู่ว่า เขามีพลังวิเศษที่สามารถทำให้หัวของทุกตัวระเบิดได้ และ เขาเป็นพระราชามาจากที่อื่น ซึ่งแครอลก็หลงเชื่อในทันใด และ ยังเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนๆทุกตัวเชื่อตามไปด้วย ทุกตัวจึงยอมยกให้แม็กซ์เป็นพระราชาของพวกเขา

     แครอล เคยรู้สึกน้อยใจที่ เคดับเบิ้ลยู ตีตนออกห่างจากกลุ่ม ไปคบกับเพื่อนใหม่ที่เขาไม่ชอบ แต่พอได้แม็กซ์มาเป็นพระราชา เคดับเบิ้ลยู ก็กลับมาเข้ากลุ่ม เป็นครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิม แครอลจึงมีความสุขอีกครั้ง และ คาดหวังว่า แม็กซ์จะสามารถทำให้เขาและเพื่อนๆ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นอย่างนี้ตลอดไป แม็กซ์เองก็เป็นผู้นำเหล่าเพื่อนใหม่ เล่นสนุกกันไปวันๆ แม้บางครั้งการเล่นแบบเด็กๆของแม็กซ์ จะทำให้บางตัวต้องบาดเจ็บ ทะเลาะ และไม่พอใจกันก็ตาม

     แล้วในวันหนึ่ง เคดับเบิ้ลยูก็พาแม็กซ์ไปพบกับเพื่อนใหม่ของเธอ ซึ่งก็คือ นกฮูกสองตัว ซึ่งแม็กซ์ฟังภาษาของมันไม่รู้เรื่องเลย แล้วเคดับเบิ้ลยูก็พานกฮูกไปแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จัก ในขณะที่เพื่อนๆกำลังคุยอยู่กับนกฮูก แครอลซึ่งฟังภาษาของมันไม่รู้เรื่องเหมือนกับแม็กซ์ ก็เริ่มรู้สึกน้อยใจเคดับเบิ้ลยูอีกครั้ง ทำให้แครอลเริ่มไม่พอใจแม็กซ์ไปด้วย

     ในที่สุด ทุกตัวก็รู้ว่า แม็กซ์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่ไม่เคยเป็นพระราชา ไม่มีพลังวิเศษแต่อย่างใด นั่น...ยิ่งทำให้แครอลและเพื่อนๆโกรธแม็กซ์มาก จนคิดจะจับแม็กซ์กิน มีเพียงแค่เคดับเบิ้ลยูเท่านั้นที่ช่วยซ่อนตัวแม็กซ์เอาไว้ เพราะเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า แม็กซ์เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แม็กซ์จึงได้รู้ว่า การเป็นพระราชา หรือ หัวหน้าครอบครัวนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่เขาเคยคิด แม็กซ์จึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับบ้าน โดยมีเคดับเบิ้ลยูช่วยเกลี้ยกล่อมเพื่อนๆให้เลิกคิดที่จะกินแม็กซ์ แล้วพากันไปส่งแม็กซ์ลงเรือออกไปจากเกาะ

     เมื่อแม็กซ์กลับถึงบ้าน แม่ก็โผเข้ากอดแม็กซ์ด้วยความดีใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ จึงทำให้แม่กับลูกมีความเข้าใจกันมากขึ้น

หมายเหตุ : หนังไม่ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของเหล่าสัตว์ประหลาดบนเกาะ และ การเดินทางกลับบ้านของแม็กซ์

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดี

Next



แนวหนัง : จินตนาการ วิทยาศาตร์ บู๊ ตื่นเต้น

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ค่อนข้างง่าย ถึง ปานกลาง

บรรยายเนื้อเรื่อง : พิเศษ (บทสนทนา) - อยากเห็นอนาคตมั้ย? (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

พี่พัน – อยากเห็นอนาคตมั้ย

น้องแอม – อยากสิ พี่พันจะดูดวงให้เค้าเหรอ แหม...ไปหัดดูดวงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

พี่พัน – เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น พี่แค่ถามดูเล่นๆ ว่า ถ้า แอม มีความสามารถพิเศษ เห็นอนาคตของตัวเองได้ แอม จะอยากเห็นมั้ย ก็พอดี พี่เพิ่งดูหนังเรื่อง Next มา พระเอกในเรื่อง เขามีความสามารถพิเศษ เห็นอนาคตของตัวเองล่วงหน้าได้ไม่เกิน ๒ นาทีน่ะ พี่ดูแล้วชอบ ก็เลยได้คิดเรื่องคำถามนี้ขึ้นมาไง

น้องแอม – โถ่...รู้อนาคตล่วงหน้าแค่ ๒ นาทีเนี่ยนะ รู้แล้วจะไปทำอะไรได้ เอ...แล้วหนังเรื่อง Next นี่เนื้อเรื่องมันเป็นยังไงเหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ

พี่พัน – อ๋อ...เรื่องมันมีอยู่ว่า...

     พระเอกของเรื่องชื่อ คริส เป็นนักมายากล ที่ใช้ความสามารถในการเห็นอนาคต ร่วมกับการแสดงกลด้วย เช่น เขาทายว่า สร้อยคอของสุภาพสตรีคนหนึ่ง ที่กำลังชมมายากลอยู่ กำลังจะร่วงหล่น ลงไปอยู่ในแก้วแชมเปญ สักครู่...พอเขานับ ๑ ถึง ๓ มันก็เกิดขึ้นจริงๆ

     ด้วยเหตุนี้ ความสามารถพิเศษของ คริส ที่เขาปกปิดคนอื่น ว่าเป็นเพียงมายากลเท่านั้น ก็ยังถูกสงสัยและจับตามอง โดยเจ้าหน้าที่FBIสาวสวยนามว่า แคลลี่ เพราะเธอเชื่อว่า คริส เห็นอนาคตได้จริง เธอจึงหวังที่จะใช้ให้เขา ช่วยบอกเธอว่า อาวุธนิวเคลียร์ที่ถูกขโมยไป จะถูกใช้ที่ไหน เมื่อ ไหร่ ก่อนที่จะต้องมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก

น้องแอม – อ้าว! ไหนพี่บอกว่า พระเอกเห็นอนาคตล่วงหน้าแค่ ๒ นาทีไง

พี่พัน – น่า...อย่าเพิ่งขัดสิจ๊ะ ฟังต่อให้จบก่อน แล้วก็จะรู้เองแหละ

     เมื่อ แคลลี่ ส่งคนตามรอย คริส จนได้รู้ว่า เขาได้ร่วมเดินทางไปกับ ลิซ และได้แวะพักค้างคืนกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แคลลี่ จึงวางแผนหลอกให้ ลิซ หลงเชื่อว่า คริส เป็นคนร้ายที่กำลังหลบหนีคดี จนยอมตกลงร่วมมือวางยาสลบ คริส โดยมีเงื่อนไขว่า ลิซ จะต้องใส่ยาสลบลงในน้ำให้ คริส ดื่ม ภายใน ๒ นาที เพื่อไม่ให้ คริส รู้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายผู้ก่อการร้ายที่ขโมยอาวุธนิวเคลียร์ไป ก็กำลังวางแผนคอยซุ่มลอบสังหาร คริส อยู่ด้วย

     แต่...เมื่อถึงเวลาที่ คริส กำลังจะดื่มน้ำแก้วนั้น ลิซ ก็เปลี่ยนใจ บอกความจริงทั้งหมดกับ คริส เพราะว่า เธอได้หลงรัก คริส เข้าแล้ว เมื่อรู้อย่างนั้น คริส จึงวางแผนซ้อนแผน เพราะฝ่ายFBIรู้เพียงแค่ว่า คริส มองเห็นอนาคตล่วงหน้า ได้ไม่เกิน ๒ นาที แต่ยังไม่รู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ลิซ ด้วย เขาสามารถเห็นอนาคตล่วงหน้าได้ไกลกว่านั้น โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

     ดังนั้น คริส จึงสามารถรอดชีวิต จากการลอบสังหาร ของผู้ก่อการร้าย และยังเกือบจะหลบหนีจากทีมFBIของ แคลลี่ ไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะ แคลลี่ ยอมเสี่ยงชีวิตจน คริส จำเป็นต้องช่วยชีวิตของ แคลลี่ เอาไว้ นั่นจึงทำให้ คริส ถูกFBIจับตัวไปเข้าห้องทดลอง และยังทำให้ คริส ได้เห็นอนาคตข้างหน้า ว่า ลิซ จะต้องถูกผู้ก่อการร้ายจับตัวไป เพื่อล่อให้เขาออกมา และ ลิซ ก็จะต้องตายในที่สุด

     เมื่อได้รู้เช่นนั้น คริส จึงต้องจำใจ ยอมร่วมมือกับทีมของ แคลลี่ เพื่อช่วยชีวิตของ ลิซ และหาหนทางยับยั้งแผนการของผู้ก่อการร้าย โดยมี คริส เป็นผู้นำทีม ทำให้เกิดการปะทะ ต่อสู้กันอย่างดุเดือด จน คริส สามารถช่วยชีวิต ลิซ ไว้ได้

     แต่...คริส เพิ่งรู้ตัวว่า เขาทำพลาดไป

     ในนาทีนั้นเอง สิ่งที่ แคลลี่ หวาดกลัวตั้งแต่แรก ก็ได้เกิดขึ้น ระเบิดนิวเคลียร์ได้ระเบิดขึ้นจริงๆ

     ทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากมายมหาศาล รวมทั้ง คริส ลิซ และ แคลลี่ ด้วย

     คนเรา ถ้าถึงคราวตาย ใครจะไปหยุดยั้งความตายไว้ได้ล่ะ ถ้าเราไม่เร่งสร้างกรรมดีไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้สมกับที่ โชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วละก็ พอถึงคราวตาย จะมาร้องขอต่อเวลาเพิ่ม ก็ไม่ได้แล้ว ตายไปแล้วจะต้องไปเกิดเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้

     แต่ถ้าเราได้ทำกรรมดี อย่างสม่ำเสมอ แค่เริ่มต้นด้วยการทำดีกับคนรอบข้าง

     ใช้หลักการง่ายๆ ก็คือ เอาใจเขามาใส่ใจ เรา อะไรที่เราไม่อยากให้คนอื่นทำกับเรา เราก็ไม่ควรทำกับเขาอย่างนั้นเช่นกัน ถ้าเราไม่อยากเสียใจ ก็อย่าทำให้คนอื่นเสียใจ คิดก่อนพูดและก่อนทำ ง่ายๆ แค่นี้เอง

     มีคนจำนวนมากที่ชอบใช้อารมณ์นำหน้าเหตุผล พอพูดหรือทำอะไรออกไปตามอารมณ์ แล้วก็ต้องมานั่งทุกข์ใจภายหลัง อย่างที่ คริส ไม่ยอมช่วย แคลลี่ หาระเบิดนิวเคลียร์เสียตั้งแต่แรก เพราะคิดเพียงว่า คงจะช่วยไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ห่วงแต่คนที่ตนรัก แล้วสุดท้าย ก็มารู้ว่า คิดผิด ทำพลาดไป ก็ตอนที่ใกล้จะตาย จะแก้ไขอะไร ก็ไม่ทันเสียแล้ว

น้องแอม – อืม...มันก็จริงอย่างที่พี่พูดนะ แต่หนังเรื่องนี้ก็จบเศร้าเกินไปนะ

พี่พัน – อย่าเพิ่งด่วนสรุปอย่างนั้นสิจ๊ะ พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่า หนังเรื่องนี้จบยังไง นี่พี่ยังเล่าไม่จบเลยนะ

น้องแอม – อ้าว! แล้วก็ไม่เล่าให้จบ ปล่อยให้เค้าเศร้าอยู่คนเดียว

พี่พัน – ที่จริงก็เหลืออีกนิดเดียวแหละ นี่พี่กะว่า จะให้ แอม ยืมไปดูตอนจบเอาเองไง แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็เล่ามาถึงขนาดนี้แล้ว พี่เองก็ไม่อยากให้ แอม เศร้าหรอก นี่มันก็เป็นหนังที่เขาแต่งเรื่องขึ้นมา เราไม่ควรจะเก็บมาเป็นอารมณ์นะ แค่สนุกไปกับมันชั่วคราว แล้วเก็บเอาแง่คิดดีๆ นำไปใช้ในชีวิตเราก็พอ งั้นพี่เล่าต่อเลยนะ

     และแล้ว หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ หนังก็ตัดภาพกลับไปที่ คริส กำลังนอนลืมตาอยู่บนเตียงนอนในโรงแรม โดยมี ลิซ นอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ แคลลี่ แอบดักรอ ลิซ เพื่อที่จะหลอกให้วางยาสลบ คริส จนถึงการระเบิด เป็นภาพในอนาคตที่ คริส มองเห็นล่วงหน้าไปไกล เพราะเขาได้อยู่กับ ลิซ นั่นเอง

     เมื่อได้เห็นอย่างนั้น คริส จึงตัดสินใจยอมร่วมมือกับ แคลลี่ แต่โดยดี โดยมีเงื่อนไขว่า ไม่ให้ดึง ลิซ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด... จบแล้วจ้ะ

น้องแอม – งั้น ตกลงนางเอกก็ไม่ได้ถูกจับ และก็ยังไม่มีการระเบิดเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็เลยไม่รู้กันสิว่า พระเอกจะช่วยจับคนร้ายได้ ก่อนระเบิดทำงานมั้ย

พี่พัน – ใช่แล้วน้อง เราไม่มีทางรู้อนาคตได้จริงๆ หรอก เพราะอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเหตุปัจจัยในปัจจุบันเปลี่ยนไป แต่พี่คิดว่า คริส อาจจะทำผิดพลาดอีกครั้งก็เป็นได้ เพราะเมื่อไม่มี ลิซ อยู่ด้วย เขาจะเห็นอนาคตล่วงหน้าแค่ ๒ นาที แต่ถ้าเขาให้ ลิซ ไปอยู่ในการอารักขาของFBIกับเขาด้วย นอกจาก ลิซ จะปลอดภัยกว่าแล้ว ยังทำให้เขาเห็นอนาคตล่วงหน้าได้ไกลขึ้นมาก ซึ่งน่าจะส่งผลดีมากกว่านะ

     ในหนังเรื่องนี้ คริส จะบอกคนดูทั้งตอนต้น และท้ายเรื่อง ว่า ทุกครั้งที่มอง อนาคตจะเปลี่ยน เพราะ คริส ก็จะเปลี่ยนความคิด และการกระทำ ให้ต่างไปจากที่เห็น

     เมื่อเหตุเปลี่ยน ผลก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นมีปริมาณมากแค่ไหน และเป็นไปในทางใด อย่างเช่น

     ถ้าเราเคยทำกรรมที่ไม่ดีไว้ในอดีต เราก็จะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าเรารีบทำกรรมดีไว้มากๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ และทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่บอกไว้แล้ว ผลแห่งกรรมดี ก็จะช่วยบรรเทาเบาบางเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดแก่เราได้

     ลองคิดเปรียบเทียบดูอย่างง่ายๆ สมมุติว่า เราเคยทำกรรมไม่ดีไว้ ๑๐ หน่วย และทำกรรมดีไว้ ๑๐ หน่วย ก็เท่ากับเราทำกรรมไม่ดีไว้ถึง ๑๐๐% เมื่อเทียบกับกรรมดี แต่ถ้าเราทำกรรมดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๑,๐๐๐ หน่วย โดยงดทำกรรมไม่ดีไปด้วย ก็เท่ากับเราทำกรรมไม่ดีไว้เพียง ๑% เมื่อเทียบกับกรรมดี

     ดังนั้น เพียงแค่เราทำกรรมดีต่อไปเรื่อยๆ ตราบจนถึงลมหายใจสุดท้ายแล้วละก็ เท่านี้ ก็สามารถรับประกันอนาคตของเราได้ว่า จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ค่าย EVS ภาพคมชัด เสียงดี

Fantastic 4: Rise of the Silver Surfer



แนวหนัง : จินตนาการ วิทยาศาตร์ บู๊ ตื่นเต้น

ระดับความเข้าใจเนื้อเรื่อง : ง่าย ถึง ค่อนข้างง่าย

บรรยายเนื้อเรื่อง : พิเศษ - เมตตา สามัคคี มีทางเลือก (คำเตือน - มีการเฉลยตอนสำคัญ)

     คนเรา แม้จะมีพลังอำนาจมากมายแค่ไหน สักวัน ก็ต้องพบคนที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าเข้าจนได้ ดังประโยคที่ว่า “เหนือฟ้า ยังมีฟ้า” นั่นแหละ แล้วพลังแบบไหนกันล่ะ? ถึงจะอยู่คงทนถาวร สามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง จะใช่พลังอำนาจเงิน (ความร่ำรวย), พลังจากอาวุธ หรือพลังพิเศษอื่นใด เรามาลองดูตัวอย่างจากหนังภาคต่อเรื่องนี้กันดีกว่า

     หลังจากที่เหล่าสมาชิกผู้มีพลังพิเศษทั้ง 4 คน ในนาม Fantastic 4 คือ รี้ด มนุษย์ยางยืด สามารถยืดหรือหดร่างกายได้ทุกส่วน ซู สาวล่องหน สามารถทำให้คนอื่นมองไม่เห็นตัว รวมถึงสิ่งของต่างๆ และสร้างสนามพลังป้องกันตัวได้ เบ็น มนุษย์ภูผา มีร่างกายแข็งแกร่งดั่งหินผา และ จอห์นนี่ มนุษย์คบเพลิง สามารถสร้างเปลวไฟ และเหาะได้โดยการเปลี่ยนร่างกายเป็นไฟ ได้ร่วมกันปราบผู้ร้ายในภาคแรก ซึ่งก็คือ วิคเตอร์ ผู้สามารถสร้างพลังแม่เหล็กไฟฟ้า และส่งเขาไปอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น

     ในขณะที่ ซู กับ รี้ด กำลังเข้าพิธีแต่งงานกัน พวกเขาทั้งสี่คน ก็ได้พบกับผู้ร้ายรายใหม่ ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก นั่นก็คือ มนุษย์ต่างดาวสีเงิน ผู้มีพลังงานมากมายมหาศาล และสามารถเหาะทะลุทะลวงได้ทุกสิ่ง ซึ่งแหล่งพลังของเขาก็คือ เซิร์ฟบอร์ด ที่เขาใช้อยู่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ รี้ด จึงเรียกเขาว่า ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ แต่ว่า ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ คือ ผู้ร้ายที่คิดจะมาทำลายล้างโลกจริงหรือ นั่นคือสิ่งที่ ซู สงสัย

     จากนั้น รี้ด ก็ได้ร่วมมือกับ นายพลเฮเกอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาล ผู้ได้รับมอบอำนาจให้มาจัดการกับผู้มาเยือน และยังต้องจำใจร่วมมือกับ วิคเตอร์ ที่ฟื้นกลับมาสู่สภาพเดิมได้ เพราะผลพลอยได้จากพลังงานที่แผ่ออกมาจาก ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ในการสร้างเครื่องมือสำหรับแยก เซิร์ฟบอร์ด ออกจากตัว ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ อันเป็นเหตุให้ ซู ต้องเผชิญหน้ากับ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ เป็นครั้งแรก

     เมื่อแผนการสำเร็จ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ถูกจับ แต่แทนที่ Fantastic 4 จะได้รับความดีความชอบ และได้โอกาสสอบถามสิ่งที่ ซู สงสัย พวกเขากลับถูก นายพลเฮเกอร์ ปฏิเสธ และกักขังพวกเขาไว้ ดังนั้น พวกเขาจึงต้อง สร้างโอกาสขึ้นเอง โดยการให้ ซู ล่องหน แอบลอบเข้าไปคุยกับ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ จนได้รู้ว่า ผู้ที่ต้องการทำลายล้างโลก โดยการกลืนกินพลังชีวิตและดวงดาว ก็คือ กาแล็คตัส แต่เหตุผลที่ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ จำเป็นต้องรับใช้ กาแล็คตัส ก็เพื่อ ปกป้องดาวของตน และคนที่ตนรัก โดยอ้างว่า เขาต้องทำเพราะ ไม่มีทางเลือก

     จริงหรือที่ เขา ไม่มีทางเลือก เขามองข้ามอะไรไปหรือเปล่า?

     ตรงกันข้ามกับ ซู ที่เชื่อว่า เราทุกคน มีทางเลือกเสมอ

     ในขณะเดียวกันนั้น อีกด้านหนึ่ง วิคเตอร์ ก็กำลังดำเนินการตามแผนอันชั่วร้ายอยู่ โดยให้ นายพลเฮเกอร์ พาเข้าไปในห้องเก็บเซิร์ฟบอร์ดของ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ส่วนตัว นายพลเฮเกอร์ เองนั้น ก็เป็นคนที่มีนิสัย หลงอำนาจ ถือตัวว่า ตนสามารถควบคุมคนอื่นได้ทั้งหมด จึงได้หลงเชื่อผู้ร้ายตัวจริงอย่าง วิคเตอร์ จนในที่สุดเขาก็ได้รับบทเรียน ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเสียใจ หรือขออโหสิกรรม จากคนที่เขาเคยทำไม่ดีเอาไว้ และเมื่อเขาต้องไปสู่ภพใหม่ เขาก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า เขาเคยทำกรรมใดไว้ในอดีตบ้าง

     ดังนั้น วิคเตอร์ จึงได้เซิร์ฟบอร์ดไป
พร้อมกับพลังมหาศาลของมัน ในขณะที่ Fantastic 4 ก็แอบเข้าไปช่วย ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ออกมาได้ และต้องหาทางชิงเซิร์ฟบอร์ด ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังดึงดูด กาแล็คตัส ให้มาทำลายโลก เพื่อให้ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ นำออกไปให้ไกลจากโลก Fantastic 4 จึงต้องต่อสู้กับ วิคเตอร์ ซึ่งมีพลังทำลายมหาศาล ในขณะที่ กาแล็คตัส ก็เข้าใกล้โลกมากขึ้นทุกที

     ในระหว่างการต่อสู้นั้น Fantastic 4 เป็นฝ่ายเสียเปรียบ จนทำให้พวกเขาทั้งสี่ ต้องแยกกันไป คนละทิศ คนละทาง วิคเตอร์ จึงได้โอกาสที่จะฆ่า ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ซึ่งอยู่กับ ซู แต่ด้วยความเมตตาที่ ซู มีต่อเพื่อนมนุษย์ และยังได้เผื่อแผ่ไปถึงสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกด้วย ซู จึงยอมเสียสละชีวิตตน เพื่อปกป้อง ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์

     ก่อนที่ ซู จะหมดลมหายใจ Fantastic 4 จึงได้สามัคคี รวมพลังของทั้งสี่ ไปไว้ในตัวของ จอห์นนี่ เพียงคนเดียว เพื่อต่อสู้กับ วิคเตอร์ จนสามารถเอาชนะ และแยกเซิร์ฟบอร์ดออกมาให้ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ ได้

     เมื่อได้เห็นความเมตตา และความเสียสละ ที่ ซู มีให้แก่ทุกชีวิตอย่างไม่จำกัดแล้ว ทำให้ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ คิดได้อย่างที่ ซู เคยพูดไว้ว่า เราทุกคน มีทางเลือกเสมอ เขาจึงตัดสินใจใช้พลังชุบชีวิตของ ซู แล้วเหาะพุ่งเข้าไปหา กาแล็คตัส ที่กำลังจะทำลายโลกอยู่ และได้ใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดของเขา เพื่อทำลาย กาแล็คตัส แม้จะต้องแลกกับการเสียสละชีวิตตนไปด้วยก็ตาม

     ในที่สุด มนุษย์โลกทั้งหลายก็รอดพ้น จากการถูกกลืนกิน โดย กาแล็คตัส

     แต่..ในความเป็นจริง มนุษย์โลกส่วนใหญ่ก็กำลังถูกกลืนกิน โดยกิเลสตัณหาใน จิตใจตน อย่างไม่รู้ตัว จนโลกแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว

     แล้วใคร หรือ พลังอำนาจแบบไหนล่ะ? ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากการถูกกลืนกิน โดยกิเลสตัณหาได้ ถ้าไม่ใช่ตัวของเราเอง กับพลังแห่ง ความเมตตา ความสามัคคี และ ความเสียสละ เพื่อความสงบสุขที่แท้จริงของชีวิต

     เราทุกคน มีทางเลือกเสมอ แล้วคุณล่ะ เลือกเส้นทางไหน ให้กับชีวิตตนเอง    

จุดสังเกตุตอนจบ : หลังจบ มีตัวหนังสือเครดิตขึ้นมาสักครู่ จะมีส่วนต่อท้ายหนังให้ดูอีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับ ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ โปรดสังเกตุให้ดี

แผ่นหนัง : DVD ลิขสิทธิ์ค่าย Catalyst ภาพคมชัด เสียงดีมาก (DTS)